เมื่อฉันทดลองเป็นคนตาบอด ที่ Dialogue In The Dark (DID) บทเรียนในความมืด ณ จามจุรีสแควร์

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (11 เมษายน 2558) ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมนิทรรศการบทเรียนในความมืดมา
รู้สึกตื่นเต้น และสนุกสนาน ประทับใจ จนอยากมาโม้เล่าให้ฟัง

dialogue1

บอกก่อนว่าก่อนจะเดินทางไปจริง ได้อ่านสปอยตามกระทู้พันทิป บอร์ดต่างๆบ้างแล้ว แต่ก็ยังอยากไปอยู่ดี ช่วงนี้ความรักทำให้เราตาพร่า ตามัว ตาบอด จีจีโลย เราเริ่มต้นเดินทางจะมออีกเช่นเคย (พระจอมเกล้าธนบุรี) นั่งรถเมล์ สาย 75 ไปสุดสายลงหัวลำโพง ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. จากนั้นเดินเลาะไปลง MRT หัวลำโพง ซื้อตั๋วไปลง สถานี สามย่าน (สถานีถัดไป)

เออระหว่างทางเรานี่ก็หงุดหงิดอะไรหลายอย่างมาก เห็นอะไรเดินขวางทาง คนเดินช้าเกะกะ นี่แอบด่าในใจหมดลงใต้ดินเจอเด็กประถม หยุกหยิกๆเสียงดัง ก็มองแรง แล้วว่าในใจ คือเป็นเม็นด้วยแหละ รำคาญไปหมด

พอถึงสถานีสามย่าน ก็เดินหาทางออก 2 จุฬาลงกรณ์นะคะแล้วก็เดินทะลุขึ้นบันไดเลื่อน ไปโผล่จามจุรี สแควร์ โผล่ขึ้นมาจะเจอศูนย์อาหาร (ที่เขาชอบมานั่งติวกันซะมากกว่า)จากนั้นมองป้ายหา ลิฟท์ค่ะ

 

กดลิฟท์ไปชั้น 4
กดลิฟท์ไปชั้น 4

 

จริงๆจะขึ้นบรรไดเลื่อนก็ได้แหละ แต่ขี้เกียจอะ ไปชั้น 4

ศูนย์หนังสือจุฬา
ศูนย์หนังสือจุฬา

กรณีขึ้นลิฟท์มาโผล่ ชั้น 4 จะมาเจอศูนย์หนังสือจุฬา ก็เดินเตร่ เรื่อยเรื่อย ทะลุจนมาเจอสิ่งนี้

อพวช
อพวช

ป้ายชมพูๆแบบนี้ แสดงว่ามาถูกแล้ว

11101646_10205997641199457_292682343_n

dialogue in the dark

คือนิทรรศการ DID จะถูกจัดขึ้นภายใน อพวช. ซึ่งในนี้ก็จะมีนิทรรศการย่อยอื่นๆอีกด้วย พอเข้ามาถึง จะมีเจ้าหน้าที่เรียกให้มารับสติกเกอร์สีแดงไปแปะที่หน้าอก คล้ายๆกับพิพิทธภัณฑ์ลูกเต๋า ที่คลอง 6 แหละ

11120583_10205997643599517_1818669328_n

พอเดินเข้าไปข้างในสัก 50 เมตร ก็จะเจอป้ายนี้อยู่ทางซ้าย เป็นบันไดให้เดินขึ้นไป แต่ว่าเราต้องไปซื้อตั๋วเข้าชมก่อน

ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 90 บาท
ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 90 บาท
ตั๋วเด็ก 50 บาท
ตั๋วเด็ก 50 บาท

ค่าตั๋วสำหรับ นักเรียน นักศึกษาปริญญาตรี อยู่ที่ 50 บาท บุคคลทั่วไป อยู่ที่ 90 บาท

11079033_10205997642559491_998960544_n
เคาเตอร์ซื้อตั๋วเข้าชม
หยิบฟรี
หยิบฟรี

การเข้าชมนิทรรศการ Dialogue In The Dark (DID) บทเรียนในความมืดจะแบ่งผู้เข้าชมออกไปละรอบๆ รอบละไม่เกิน 8 คนโดยประมาณ พอขึ้นไปข้างบนนิทรรศการ จะพบเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับ แล้วแนะนำข้อปฎิบัติในการเข้าชมให้เราทราบก่อน เท่าที่จำได้ก็คือ เขาจะไม่ให้เราอุปกรณ์สื่อสารใดใดเข้าไป สิ่งของเรืองแสงต่างๆก็ห้าม นาฬิกาข้อมือที่ถอดเก็บไปเลย เข้ามีล็อกเกอร์ให้ฝากสัมภาระ ก็คือเข้าไปแต่ตัวนั้นแหละ(อ๋อลืม ภายในจะมีการจำลองการซื้อของ จ่ายค่าอาหารสามารถพกเงินติดตัวเข้าไปได้ 20 บาท หรือมากกว่านั้นก็ได้)
ถ้ามีคนใดคนใด ทำผิดกฎคือแอบเอาเข้าไป ไกด์จะยุติการเข้าชมแล้วพาเดินออกทันที กรณีที่เราหลงทาง ก็ให้ตะโกนส่งเสียงเรียกไกด์ดังๆ เขาจะมารับเราเอง

ทางเข้า
ทางเข้า

ก่อนเข้าไปข้างในซึ่งจะมืดมากจริงๆ มองไม่เห็นเสียงใดใดแม้แต่นิดเดียว เจ้าหน้าที่จะแจกไม้เท้านำทางให้คนละอัน เป็นอุปกรณ์คู่กายเอาไว้ใช้เขี่ยๆดูทางข้างหน้าว่ามีสิ่งใดกีดขวางอยู่ไหม

ไม้เท้านำทาง
ไม้เท้านำทาง
ไม้เท้านำทาง cr. พี่ปน.
ไม้เท้านำทาง cr. พี่ปน.

เอาละ เริ่มเข้าไปกันคะ มืดม้ากกกกกก

ทริปนี้มีผู้ร่วมเข้าชมด้วยกันทั้งหมด 5 คนเขาให้เราต่อทางตอนลึก ตามๆกันเข้าไป เราอยู่คนที่ 3 (จริงๆเรามาคนเดียว แต่เผอิญเจอพี่ในคณะที่รู้จักอีก  2 คนเลยขอพ่วงตามติดเขาไปด้วย) เจ้าหน้าที่บอกว่า คนที่อยู่หน้าสุด กับหลังสุดจะสำคัญมาก เพราะต้องเป็นคนคอยส่งสัญญาณว่า เรามากันครบแล้ว ไกด์จะถามคนท้ายสุดว่ามาถึงแล้วหรือยัง ไกด์ผู้นำทางของเรา ชื่อพี่อุ้ย เป็นผู้ชาย นำเสียงหยั่งกะดีเจตามวิทยุ ห้องแรกเข้ามาก็แอร์เย็นๆ โครตตื่นเต้น มืดแบบมืด ต้องใช้มือคล้ำ หูฟังเสียงนี้สำคัญมาก

ไกด์ก็เป็นกันเองดีมาก หนุกหนาน ให้แนะนำชื่อผู้ร่วมเดินทางในบทเรียนในความมือครั้งนี้ คนแรกเป็นพี่ อ. ไกด์ก็ถาม คุณ อ ทำอาชีพไรครับ พี่ อ. บอก โปรแกรมเมอร์ครับ คนที่สอง พี่ปน. เป็นเว็บมาสเตอร์ พอถึงเรา ชื่อน้องฟาง ยังเรียนอยู่ค่ะ อิ้อิ้
ไกด์ถามเรียนอยู่ปีไหน ที่ไหน เราก็ตอบๆไป แล้วไกด์ก็แซวว่า แล้วน้องฟางอยากทำอะไรครัช พี่ๆ เขาเป็นโปรแกรมเมอร์ เว็บมาสเตอร์ เท่ๆทั้งนั้นเลย “อ๋อ อยากเป็นด็อกเตอร์ค่าาาา”(มั่นหน้ามาก) คนถัดไป (ไม่รู้จักกัน) ชื่อพี่ จ. ทำงานอยู่ที่กงศุลกากร คนที่สุดท้ายเป็นหมอ กำลังเรียนต่อหมอเฉพาะทาง ชื่อ พี่  อ. พี่ปน.เลยกระซิบมาแซวมืดๆว่า นี่สิด็อกเตอร์ของจริง 55555

พอแนะนำตัวกันพอสังเขปไกด์ก็ถามว่า คิดว่าที่นี่คือที่ไหนครับ ห้องงอะไร คือมันก็เป็นห้องรับแขกแหละมั้ง มีโซฟาให้นั่ง โซฟาน่าจะเป็นสีดำ (มโนล้วนๆ) มีเปิดเพลงคลื่น Cool 93 ด้วยนะครัช เพลงแอบดราม่าด้วย นี่จำได้

ห้องต่อมาเดินตามเกาะๆกันไปก็รู้สึกบรรยากาศมันเปลี่ยนไป แอร์เริ่มไม่เย็นจ๋า และมีเสียงน้ำตก มีท่อๆคือไม้ไผ่ ตอนแรกคิดว่าคงเป็น PVC ไกด์ก็ถามต่อว่า ที่นี่น่าจะเป็นที่ไหนครับ ลองทายสิ
“สวนสาธารณะค่ะ”
“อุทยานแห่งชาติ”
“สวนหลังบ้าน”
ก็เดาไปเรื่อย ต่างคนต่างมโน จากนั้นไกด์ก็บอกว่า เด๋วจะให้น้องฟางมาเป็นตัวแทนกลุ่มสัมผัสน้ำกันนะครับ ว่าน้ำที่ได้ยิน เขาเปิดเสียง หรือว่าเป็นน้ำจริงๆ (อ้าว ฉันเหรอ) ไกด์ก็ลากไปคล้ำ หาน้ำ

งั่ม น้ำจริงๆ สงสัยจะอยู่ในอ่างเย็นๆ ตลอดเวลาที่อยู่ที่ในนี้ เราจะได้ใช้สติคิด หูฟัง ปากส่งเสียง (เด๋วหลงกับเพื่อน) สัมผัสต่างๆเยอะมากเสมือนว่าเราสูญเสียตาและการมองเห็นไปแล้วจริงๆเลย ทำให้เรารู้เลย ว่าโลกของคนตาบอดเป็นงี้นี้เอง จุดพีคคืออะไรรู้ไหม
คือช่วงที่เราไปเนี่ย มันใกล้เทศกาลสงกรานต์ไง ถึงจะมืด แต่ก็โดนฉีดน้ำใส่หน้าด้วยค่ะ จักแร้นี่เปียกเลย พี่เร่งได้แม่นมาก ชอบตรงได้นั่งรถ อารมณ์ประมาณรถตุ๊กๆ มีเสียง มีลมตีหน้าเหมือนจริงมากอ่า ฮาสุดยิ่งกว่า 4D ไกด์ก็บอกว่า ตอนนี้ถึงนี่นะ ข้างซ้ายเป็นธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ข้างหน้าเป็นรางรถไฟ รถจะเอียง ระทึกสุด แถมมีคนมาฉีดน้ำใส่หน้าอีก นี่ก็กลัวคิ้ว และเครื่องสำอางที่แต่งมาจะหลุด
โนวอทเท่อะ บรูฟ อิ้อิ้ ต้องหลบ แต่เหมือนยิ่งเราส่งเสียง เขาจะยิ่งรู้ว่าเราอยู่ตรงไหน ใช้หูฟัง

มาถึงห้องสุดท้าย เป็นร้านอาหาร ก็จะมีพนักงานประจำเคาเตอร์คอยแนะนำว่า สามารถซื้ออะไรได้บ้าง ที่จำได้ก็จำมีพวก น้ำเปล่า น้ำอัดลม สาหร่าย ป๊อกกี้ พี่เขาก็จะแจ้งราคาพร้อมรสชาติที่มีขายให้เราฟัง ว่าเราต้องการจะซื้ออะไร เซงตรงที่ลืมหยิบเงินเข้ามาด้วย เลยต้องยืมตังค์พี่ให้จ่ายค่าน้ำเปล่าไปก่อน ในราคา 10 บาท

จากนั้นพี่ไกด์ก็จะพาเราไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพูดคุย หรือจะสอบถามอะไรก็เม้าท์กันได้สรุปคร่าวๆก็คือ ไกด์ทุกคน รวมทั้งพี่โชเฟอร์ตอนขับรถ พี่เขาขายอาหาร ทุกคนล้วนเป็นผู้พิการทางสายตาทั้งหมด และมองไม่เห็นทั้งในที่นี่ และชีวิตจริงไกด์ของเราพี่อุ้ย อายุ 26 ปี พิการทางสายตาตั้งแต่กำเนิดแต่ดูจากน้ำเสียงพี่เขาแล้ว เขาเหมือนคนทั่วไป ร่าเริง มีความสุขพี่แกบอกว่า มาทำงานเป็นไกด์ที่นี่ได้ 2-3 เดือนแล้วปัจจุบันก็ทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย คือสอนคนตาดี ร้องเพลง เล่นเปียโนไรงี้สุดยอดดดดอ่าาาาาา

จริงๆเราก็สงสัยมานานละ เราเคยเห็นคนตาบอดขึ้นรถเมล์ไปไหนมาไหนได้เขารู้ได้ยังไงว่า ต้องขึ้นป้ายไหน ลงไปไหน รถสายไหนกำลังจะมา พี่รู้ได้ยังไงพี่อุ้ยก็บอกว่า “ก็ถามคนแถวนั้นเอาอ่ะครับ ว่าสายไหนมา”ถ้าอยู่บนรถก็จะบอกกระเป๋ารถเมล์ว่าจะลงตรงไหน แล้วให้กระเป๋าช่วยบอกว่าจะถึงแล้ว คิดไปคิดมา ขนาดเราตาดีมองเห็นชัดๆ ยังลำบากเลยนะ เวลาจะขึ้นจะลงรถเมล์เนี่ยรู้สึกโชคดีที่เรายังมองเห็นโลกสว่างๆ เห็นสี เห็นธรรมชาติต่างๆเต็มไปหมด แต่เราไม่ค่อยรู้สึกว่ามันมีค่าอะ เห็นอะไรก็หงุดหงิดไปหมด

สุดท้ายก่อนจากกันพี่อุ้ยก็แอบฝากผลงานไว้ด้วย เป็นเพลงที่พี่แกร้องเองเลยนะแก ชื่อเพลง ขอบคุณ – Human Station II

ฝากไลค์ ฝากแชร์ด้วยนะครับ พี่ไกด์อุ้ยฝากเราไว้ทิ้งท้าย พอเดินออกมาจากนิทรรศการ วินาทีแรกที่เห็นแสงสว่าง
อื้อหื้ออออ ดีใจ เจอแสงแล้ว กลับสู่โหมดปกติแล้วอีกครั้งก่อนถึงประตูทางออก จะมีมุมให้ผู้ชมนิทรรศการเขียนบอกความในใจได้
ไกด์ยังบอกอีกว่า ฝากทุกคนช่วยประชาสัมพันธ์โครงการนี้ด้วย ถ้าไม่มีทุกคนมาเยี่ยม นิทรรศการนี้ก็คงอยู่ไม่ได้ทั้งในด้านกำลังใจ และเงินช่วยสนับสนุนเล็กๆน้อยจากพวกเรา

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการเข้าชมนิทรรศการค่ะ
สถานที่จัดนิทรรศการ : ชั้น 4 อาคารจามจุรี สแควร์ สามย่าน ปทุมวัน กทม.
เวลาเปิดปิด : 11.15 – 17.15 น. ของทุกวัน
ค่าตั๋วเข้าชม : เด็กและนักเรียนนักศึกษาไม่เกินป.ตรีที่แสดงบัตร 50 บาท และผู้ใหญ่ 90 บาท
สามารถติดตามข่าวสาวและดูกิจกรมได้ที่บนเพจ
https://www.facebook.com/didthailand

รูปภายในพิพิธภัณฑ์เพิ่มเติม

11148943_10205997642639493_2009072317_n

11149005_10205997641319460_1832735044_n

11156923_10205997643279509_492086614_n

11139920_10205997643879524_747314191_n

11072750_10205997643039503_861392107_n

11137054_10205997641559466_575412807_n

11117452_10205997640759446_562425036_n

จบ.

Comments

comments

fangrio Written by:

สนใจเกี่ยวกับการทำอาหาร ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ และความเป็นไปรอบตัว อยู่บ้านชอบเดินเท้าเปล่า ไม่ชอบนอนดึก แต่ตื่นไม่เช้า เป็นหัวไช้เท้าดองเลิฟเวอร์

Be First to Comment

Leave a Reply