“Warning Spoilers”
ตกหลุมรักหนัง road movie แล้วละ 😀 😀
เพราะ The Secret Life of Walter Mitty มันทำให้เห็นโลกในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แปลกใหม่
ไม่ใช่ถนนแบบกรุงเทพฯ ไม่ใช่ป้ายรถเมล์แบบในเมือง และไม่ใช่ภูเขาเขียว ๆ แบบบ้านเรา
ทุกครั้งที่ดูหนังแนวนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กกำลังเจอสนามเด็กเล่นแห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันชักให้เราอยากเข้าไปลองเล่น ไปเจอ ออกไป up ออกไป chill ออกไป up skill
การมีชีวิตอยู่แต่ในกรอบเดิมๆ ทำให้เราเข้าใจแก่นสำคัญของชีวิตมากขึ้น
หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน
The Secret Life of Walter Mitty มีชื่อไทยว่า ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์มิตตี้
Walter Mitty คือชื่อพระเอกของเรื่อง (Ben Stiller)
หนังนำเสนอบุคลิกตอนต้นว่าเป็นคนขี้กลัว ใช้ชีวิตซ้ำซาก ธรรมดา จืดชืด ลุคพระเอกตอนแรกไม่มีอะไรน่าสนใจ แถมยังชอบหลุดเหม่อลอยอยู่ในโลกเพ้อฝันของตัวเอง
(ชอบฉากที่พระเอกจินตนาการไปในโลกเพ้อฝัน แฟนตาซีเจ๋ง เต็มไปด้วยซีนกล้าหาญ หรือโรแมนติก)
เขาทำงานอยู่ในบริษัทนิตยสาร LIFE ในตำแหน่งผู้ปิดทองหลังพระสุด คือเป็น บรรณาธิการด้านภาพฟิล์มเนกาทีฟ เป็นคนจงรักภักดีต่องาน มีความรับผิดชอบสูง และเป็นที่รักของคนรอบข้าง
พระเอกเป็นชายวัยกลางคนประมาณ 40 ปี ยังไม่มีครอบครัว ใช้ชีวิตอยู่กับแม่และน้องสาว พ่อเสียไปตั้งแต่เขาเป็นวัยรุ่น เหตุผลนี้ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบอย่างเข้มงวด การผจญภัยจึงอยู่ไกลจากชีวิตประจำวัน
แต่ในความจืดชืดของชีวิต มิตตี้ยังแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ด้วย ชื่อเชอรีล (Kristen Wiig) เธอเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง เพิ่งเลิกกับสามี
มิตตี้ลองใช้เว็บหาคู่ออนไลน์ แต่ปล่อยว่างชีวประวัติ ทำให้ไม่มีใครสนใจ เขาอยากส่งอมยิ้ม (Wink) ให้เธอ แต่ส่งไม่ได้ จึงโวยวายกับแอดมินระบบ
แล้วก็มีเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยน คือ นิตยสาร Life ประกาศปิดตัวฉบับกระดาษ และจะไปอยู่ในรูปแบบ Online
ชีวิตมิตตี้ตกอยู่ในความเสี่ยง งานของเขาอาจถูกลด Priority หรือถูกถอดออกจากบริษัท
พล็อตหลักของหนังคือ การตามหาฟิล์มหมายเลข 25 ที่หายไป ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของนิตยสาร ใช้เป็นภาพปกสุดท้ายของฉบับกระดาษ
มิตตี้ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องต้องออกตามหาฟิล์มหมายเลข 25 นี่คือจุดเริ่มต้นของ The Secret Life of Walter Mitty
ประทับใจหนังตรงภาพประกอบ มุมกล้อง สวยมาก รู้สึกเหมือนได้อ่านนิตยสารท่องเที่ยว (National Geographic) ฉบับภาพเคลื่อนไหว กราฟิกสวย ทีมงานตั้งใจมาก 10/10
พูดถึง Ben Stiller พระเอกที่เป็นผู้กำกับหนังด้วย
บุคลิกตอนแรกน่าเบื่อ แต่ช่วงออกไปผจญภัยตามหา “ฟิล์มหมายเลข 25” เปลี่ยนไปเลย
จากเดินหลังค่อม กลายเป็นดูสมาร์ทขึ้น กร้านโลก มอมแมมแต่เต็มไปด้วยบุคลิกใหม่ที่น่าค้นหา
หนังซ่อน Symbolic ไว้เยอะ ดูรอบเดียวอาจไม่ครบ ตั้งแต่สีในชีวิตพระเอก รถ (Red One หรือ Blue One) คำพูดเรียบ ๆ ของตัวละคร
หนังสะท้อนสิ่งที่แฝงอยู่ในใจหลายคน ดูเสร็จก็อยากออกไป backpack ออกจาก comfort zone
Soundtrack ดี ๆ ต้องคู่กับหนังดี ๆ
- Wake Up (Arcade Fire) ฉากวิ่งซื้อตั๋วเครื่องบิน ปลุกใจมาก
- Step Out ปลดล็อคพลังในตัว
- Stay Alive เพลงตอนจบ ฟังแรก ๆ อาจไม่รู้ความหมาย แต่พอรู้ความหมายจะดีมาก
- Space Oddity [Mitty Mix] ฉากพระเอกกระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ นางเอกร่วมร้องด้วย
- Dirty Paws – Of Monsters and Men เพลงประกอบ trailer และซีนปั่นจักรยานลงภูเขา พลังของมิตตี้ถูกปลดเต็มที่
อีกหนึ่งตัวละครที่พระเอกตามหาตลอดเรื่องคือ Sean O’Connell (Sean Penn) พูดปรัชญาแมน ๆ
“Beautiful things don’t ask for attention”
ใครที่อ่อนแอกับชีวิต ดูเรื่องนี้จบจะฮึกเหิมขึ้น
“The way you choose, the way you are.”
Stop Dreaming, Start Living