Warning Spoil สปอยแบบหนักมาก
มีคนอยู่ 2 แบบที่หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ คือถ้าไม่ชอบไปเลยก็เฉยๆไปเลย นี่อยู่ในคนกลุ่มแรกจ้ะ แนวชอบหนังเชิงประวัติศาสตร์ สารคดี 1917 ไม่ใช่หนังสงครามบู๊กะหน่ำ ฆ่ากันตาย โหวกเหวก แต่เป็นการถ่ายทอดความสมจริงและสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูลุ้นไปกับตัวละคร ที่มาจากเรื่องจริงของคุณปู่ผู้กำกับสมัยไปรบตอนอายุ 19
เอาจริงในแง่พล็อตหนังคือไม่มีไรเลยนะ หยิบช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 มาเล่า คือทหารอังกฤษหนุ่ม 2 คนเป็นเพื่อนกัน ชื่อเบลคกับสกอฟีลด์ ถูกมอบหมายจากผู้บังคับชาการ กอง C ให้เดินขาฝ่าสมรภูมิรบ ไปบอกกอง A แนวรบด้านหน้าว่าให้ยุติการรบซะนะ เพราะมันเป็นกับดักที่ฝ่ายศัตรู [เยอรมัน] ล่อให้ไปอยู่ตรงนั้น แล้วต้องไปให้ทันก่อนรุ่งสางมีเวลาแค่ 48 ชั่วโมง ไม่งั้นจะต้องเสียพลทหารไปหลายพันคน หนึ่งในนั้นคือพี่ชายของเบลค และให้เดินขาไปแค่สองคน จบละพล็อตหนังมีแค่นี้เอง ฮ่าๆ
ฉากแรกเริ่มเปิดมาด้วยฉากสีเขียว ทุ่งหญ้า กว้างไกล ทหารอังกฤษนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ สภาพมอมแมมนิดหน่อย ดูเย็น สงบ เหมือนจะไม่มีอะไร จนกระทั่งมีคนมาสะกิดให้เบลคตื่น เพราะถูกเรียกไปหากองบัญชาการและให้สะกิดเพื่อนไปด้วยคนนึง เบลคก็สะกิดสกอฟีลด์ไป ตอนแรกทั้งคู่ก็ “เฮ้ย งานใหญ่แน่เลย จะเรียกให้ไปทำอะไรนะ” แต่พอรู้ภารกิจแล้วก็คือความพี่น้องอะเนาะ เบลคพอรู้ว่าพี่ชายกำลังจะเข้าไปหาความตาย ก็รีบเลยจ้า สกอฟีลด์ก็แบบลังเลว่าจะไปเลยอ่อ รอมืดก่อนไหม เผื่อว่าพวกเยอรมันยังไม่อยู่ถอยทัพออกไป มันจะเป็นเป้าสายตา เสี่ยงแล้วตาย คือไปบอกพี่ชายไม่ทันเด้อ
เราชอบตรงที่หนังเรื่องนี้ไม่มีเวิ่นเว้อ ไม่เกริ่น ไม่ลีลาอะไรใดๆ เลย ไม่ต้องปูประวัติศาสตร์ ปูมหลังตัวละคร ดำเนินเรื่องไวมาก
ฉากแรกๆ ก็จับจ้องดู Long Take ได้เลย คือในสงครามเขาก็จะขุดดินจริงเป็นกำแพง หลุมแคบๆ เพื่อกำบังเป็นเกราะอำพรางสายตา จังหวะรู้ว่าอ้าวไม่ถึง 5 นาที คือจะต้องเดินออกไปฝ่าแนวสมรภูมิรบแล้ว ในใจคืออ้าวแบบนี้ก็ได้เนาะ เกร็งมือ ลุ้นอารมณ์บีบเค้นมาแบบไม่ทันได้หายใจ
ความสมจริงของโลเคชั่น คือเอาไปสิบคะแนนเต็ม เดินฝ่าไปเจอม้าตาย ทหารตายติดรั้วหนาม โคลมตมหนองเละๆ ที่มีแต่เพื่อนทหารนอนอืดอยู่ซาก เราแค่นั่งอยู่เฉยๆ มันยังรู้สึกหดหู่ ตัวละครสองคนคือใจสู้มาก มีแค่ปืนคนละกระบอก เสบียงนิดหน่อย เดินผ่านสนามเพลาะ คือลานโล่งๆ กว้างๆ ดินโคลนเปียกๆ เรียกว่า “No Man’s Land,” หรือดินแดนไร้ผู้คน โอกาสรอดตายมันยากถ้าเป็นฝ่ายบุก และก็ไม่รู้ว่าเยอรมันที่เป็นฝ่ายตั้งรับถอยทัพกลับไปยัง ฟ้าเทาหมอกปกคลุมเกือบจะเหมือนฉากในหนังลี้ลับ ลุ้นว่าเนินหน้า หลุมหน้ามันจะเจออะไรวะ ความดีงามของโปรดักชั่นคือแต่ละฉากเลือกแสงธรรมชาติ แดดเยอะไปจัดไป ก็ไม่ถ่าย รอจังหวะให้เหมาะแล้วเร่งถ่ายให้จบซีน ภาพที่ได้ออกจึงดูเชื่อว่านี่แหละสงครามจริงๆ แนะนำให้ไปดูโรงจอใหญ่ๆ ถ้ารวยดู iMax ขนลุก
เบลคกับสกอฟีลด์ต้องเดินฝ่าแนวรบเพื่อเอาข่าวไปบอกกองรบ A ให้ทันเพื่อไม่ให้สูญเสียกำลังพลทหารไปมากกว่านี้ แล้วไปกันแค่ 2 คน ในใจตอนดูก็คิดว่ามันจะรอดแค่คนเดียวแน่ๆ แต่ใครจะตายก่อนใครว้า พอฝ่าสนามเพลาะมาได้มาเจอบ้านร้าง กลางทุ่งหญ้าโล่งๆ แต่หน้าบ้านปลูกต้นเชอร์รี่ออกดอกสีขาวโพร่น แต่โดนตัดทิ้งให้เหลือแต่พอ
ฉากต้นเชอร์รี่สวยมาก ปกติไม่เคยเห็นเพราะเมืองไทยปลูกไม่ได้ เบลคเล่าว่าที่หลังบ้านเขาก็ปลูกไว้เหมือนกัน ต้นเชอร์รี่มีหลายพันธุ์ แต่คนมักคิดว่าเหมือนกันหมด พอออกลูกเขากับพี่ชายก็ช่วยกันเก็บผลใช้เวลาหมดทั้งวัน มุมกล้องแพนระหว่างที่ทั้งคู่เดินเลาะสวน ดอกมันปลิวสะพรั่ง ประทับใจ
สกอฟีลด์พูดว่า “เอ๋ แล้วต้นเชอร์รี่พวกนี้มันจะตายสนิททั้งหมดเลยเหรอ” เบลคตอบ “ไม่หรอก เดี๋ยวพอเมล็ดมันเริ่มเน่า มันก็จะแตกรากขึ้นมาเป็นต้นใหม่อีกเยอะกว่าเดิมอีก” จังหวะนี้เป็นบทสนทนาเชิงสัญลักษณ์ ต้นเชอร์รี่เหมือนฝ่ายพันธมิตรหรือชาวอังกฤษที่กำลังรบอยู่ ตัดโค่นได้ก็ทิ้งไปก่อน แต่ผลผลิตที่หลงเหลืออยู่ใต้ซากพังจะเติบโตใหม่ที่แข็งแรงและพรั่งพรูกว่าที่ตายไป
เราเดาว่าสกอฟีลด์ตายก่อนแน่ เพราะบทเริ่มดูไม่โดดเด่น แต่สุดท้ายคือเดาผิด เบลคตายก่อน เพราะเครื่องบินรบฝ่ายเยอรมันตก พ่อพระไปช่วยเขา เขาเอามีดมาแทงพุงตัวเอง เสียเลือดมากตายแบบงงๆ ตอนแรกคิดว่าไม่ตาย คงห้ามเลือดแล้วนอนพักได้ แต่ไม่ใช่ หน้าซีด ตัวขาว สั่งเสียให้ส่งจดหมายบอกแม่และพี่ชาย สกอฟีลด์เคว้งไปแปปนึง แต่ต้องเดินต่อ ดีที่เจอทหารอีกกองมีรถบรรทุก พาช่วยให้ไปได้ไวขึ้น แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไกล เพราะฝ่ายศัตรูระเบิดสะพานทิ้ง
ฉากเด็ดอีกฉากคือหลบหนีจากเมืองพังพาบ แสงจากพลุไฟ ต้องคำนวณการขึ้น การตก และจุดกระทบของแสง ตัวละครวิ่งหลบแสง แม่งสวยมาก ไม่มีอะไรง่าย ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายทีมในกอง ทั้งลุ้น ตื่นเต้น เอาใจช่วยให้ฝ่าไปให้ได้ เหนื่อยแทนพระเอก วิ่งหลบ หนี กระโดดลงหน้าผาเจอน้ำตกไหลเชี่ยว ผ่านหิน เจอศพลอยอืดในแม่น้ำ จนสุดท้ายมาถึงกองหน้าได้เช้าพอดี
สุดท้ายเจอด่านหน้ากอง A ต้องรีบวิ่งไปบอกผู้พันแมคแคนซี กำลังจะบุกโจมตี ทุกคนหึมเหิมพร้อมตาย มีคำสั่งจากแนวหลังให้ยุติการโจมตี พระเอกต้องวิ่งสุดชีวิตเพื่อไปบอกข่าว ส่งจดหมายให้ทัน สุดท้ายทันแหละ ผู้กองแมคแคนซีหันมาคือเบเนดิค หล่อเข้ม
ถัดมาก็เป็นขั้นตอนพระเอกต้องตามหาพี่ชายเบลค เพื่อนเล่าว่าหน้าตาเหมือนเขาแต่แก่กว่า ทหารอื่นบอกว่าพลเอกเบลคอยู่ด่านสุด เป็นหัวหน้า วิ่งไปตั้งแต่เช้า ต้องไปหาเอง ตายป่าวไม่รู้ เครียดไปอีก น้องชายตาย พี่ชายจะรอดมั้ย โชคดีที่หนังจบแบบ complete พี่ชายเบลคไม่ตาย แถมหล่อกว่าน้อง
ฉากแรกเริ่มต้นที่โค่นต้นไม้ ฉากสุดท้ายสกอฟีลด์เดินไปที่ต้นไม้ หยิบรูปเมียกับลูกออกมานั่งดู
ถ้าใครศึกษาสงครามโลกครั้งที่ 1 จะรู้ว่าเทคโนโลยี ยุทธการยังไม่ได้เฟื่องฟู่เหมือนสงครามโลกครั้งที่ 2 เน้นปืนกล เครื่องบินมีบ้าง แต่วิวัฒนาการยังไม่ว้าวเหมือน WW2 หนังสงครามหลายเรื่องชอบยก WW2 มาเล่าเป็นหนัง เช่น ดันเคิร์ก อ่าวฮาเบิล ใช้กำลังผู้ชายเกณฑ์ไปมากกว่า 60 ล้านคน ตายหลายล้านคน เอฟเฟกต์ไม่ได้จบแค่สนามรบ เกิดภาวะหวาดกลัวทางจิต สงครามไม่เคยมีใครชนะ มีแต่ความพ่ายแพ้ แผล บอบช้ำ แม้ผ่านไปกี่ 100 ปี สิ่งที่ถอดออกมาคงไม่ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลานั้น.