ตั้งแต่เกิดมามีหนังอยู่ 2 เรื่องที่ดูแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
คือ ฮาชิ หัวใจพูดได้ กับ เรื่องที่มาแนะนำในบล็อกนี้ Little Boy (2015) มหัศจรรย์พลังฝันบันลือโลก
เรื่องแรกคือ “Hachi a dog’s tale ฮาชิ หัวใจพูดได้” เป็นหนังเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์ชิบะผู้ซื่อสัตย์ โดยอ้างอิงและดัดแปลงมาจากเรื่องจริงที่ประเทศญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องการจงรักภักดีของสุนัขตัวหนึ่งที่ชื่อ ฮาชิ ที่จะมาส่งและรอรับที่สถานีรถไฟทุกวัน จนวันหนึ่งเจ้าของไปแล้วไม่กลับมาอีก แต่ด้วยความซื่อสัตย์ มันก็ยังคงรออย่างใจจดใจจ่อว่าเจ้าของมันต้องกลับมาแน่ๆ กินเวลานานเป็น 10 ปีที่มันรอ มีประโยคนึงที่ตัวละครในหนังพูดกับหมาตัวนี้ว่า “แก ไม่ต้องรอเขาแล้ว เขาไม่กลับมาหาแกอีกแล้วล่ะ” น้ำตาเรานี่ไหลพราก เป็นน้ำปะปา ถึงจะรู้ว่าตอนจบมันเป็นยังไง แต่หนังมันบิ้ว บีบคั้นอารมณ์เรามาแบบต่อเนื่องจนมาถึงจุดพีคในช่วงหลังๆ
ปกติเราว่าเราเป็นคนใจแข็งมากนะ ชอบดูหนัง และก็คิดว่าดูมาเยอะพอสมควร จะมาดูหนังดูละครแล้วร้องไห้ตามนี่หาเรื่องยาก ถ้าไม่อินจริงๆ แต่ฮาชินี่ยอมใจ ประทับใจ ซึ้ง หมานั่นก็แสดงได้ดีเหลือเกิน ถ้ามีรางวัลออสก้าให้กับนักแสดงที่เป็นสัตว์ ก็ให้เจ้าตัวนี้ไปเหอะ เล่นดีกว่าดาราบางคนในจอทีวีบ้านเราซะอีก
ทีนี้กลับมาที่หนัง Little Boy เป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนึงชื่อ เปปเปอร์ (Pepper Flynt Busbee) ซึ่งมีปัญหาด้านร่างกายจนทำให้ตัวเล็กกว่าปกติ นำแสดงโดย Jakob Salvati น้องแสดงได้น่ารัก น่าเอ็นดู ความใสซื่อที่ดูแล้วเชื่อว่าน้องเป็นแบบในหนังจริงๆ เปปเปอร์เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น พร้อมกับพ่อ แม่ และพี่ชาย ในความสัมพันธ์ของครอบครัวนั้น เขาสนิทกับพ่อมากที่สุด พ่อมักจะเล่านิทาน และซื้อนิตยสารเกี่ยวกับมายากลให้อ่านเสมอ ทั้งคู่มักจะชวนกันเล่นกันแบบตลก และเป็นคู่หู่ตัวติดกันตลอด เพราะเพื่อนในวัยเดียวกันมักจะตัวโตกว่า และชอบรังแกเขา พ่อมักจะตามใจเปปเปอร์และเข้าข้างเขาโดยเฉพาะเรื่องส่วนสูง
ดูเหมือนพล๊อตจะราบรื่นเกินไป ไม่เร้าใจ จุดพีคมันเริ่มเข้ามาตอนเนื้อเรื่องเล่าว่าโลกเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่น พ่อของเปปเปอร์ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารร่วมรบในสมรภูมิ เหตุใดพี่ชายคนโตชื่อ “ลอนดอน” ซึ่งอยู่ในวัยเจริญพันธุ์คือพร้อมรบแต่ดันเป็นโรคเท้าแบน ส่งผลให้ไม่สามารถไปเป็นทหารได้ ต้องส่งพ่อแทน
พอรู้ว่าพ่อที่เคยเล่นด้วยกัน คอยอ่านนิทานให้ฟัง พาไปซื้อของเล่น คอยปกป้องจากการดูถูกรังแกจากคนที่ตัวโตกว่า ต้องจากบ้านไปไกล และไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ เปปเปอร์จึงเสียใจมาก “พ่อฮะ พ่อไม่ต้องไปได้ไหมฮะ T^T”
เด็กเปปเปอร์พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้พ่อกลับมา ใครให้ทำอะไร มีวิธีไหนทำหมด จนบาทหลวงคนนึงสงสารเด็ก ก็เลยบอกว่า ถ้าทำตามกระดาษใบนี้ครบทุกข้อ พ่อจะกลับมาหาแน่นอน มันกระดาษโบราณๆ มีลิสต์ประมาณ 5-6 ข้อ แต่ละข้อเป็นภารกิจที่ต้องทำให้ครบ และในคัมภีร์ไบเบิ้ลเจอประโยคหนึ่งว่า
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า “จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น” มันก็จะเลื่อน และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่านเลย”
แต่เด็กมันก็คือเด็ก แต่ด้วยความเชื่อ ความศรัทธาของเด็กตัวเล็กๆ ทำเราร้องไห้เลย จึงทำให้เปปเปอร์อยากหยุดสงครามให้จบลง และสุดท้ายสงครามก็ยุติลงจริงๆ ตามที่สิ่งที่เขาอยากให้เป็น หนังให้ข้อคิดในเรื่องความเชื่อ ความหวัง ความรัก และความศรัทธา
แม่ของเปปเปอร์ นำแสดงโดย Emily Watson บทไม่ได้หวือหวา แต่แม่ยังรักและดูแลเปปเปอร์แบบปกติ ต้องเข้มแข็งและอยู่เป็นเสาหลักให้ครอบครัวยามหัวหน้าครอบครัวไม่อยู่
ทั้งสองเรื่อง Little Boy และ ฮาชิ มีสิ่งที่เหมือนกันคือ ตัวละครเผยให้เห็นถึงพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ที่ไม่ยอมให้อะไรมาหยุดยั้ง ด้วยการแสดงออกที่เรียบง่าย ทั้งเจ้าฮาชิและน้องเปปเปอร์มีศรัทธา เชื่อว่ามันจะต้องเป็นไปได้ หนังดึงเอาความอ่อนโยนที่อาจแฝงอยู่ในตัวเราทุกคนออกมา
ไมได้สปอยเลยนะว่าจบอย่างไง อยากให้ไปดูเอง ว่าสุดท้ายแล้วทั้งหมดทั้งมวล ความพยายามจะกลายเป็นศูนย์ไหม พ่อจะกลับมาหาตามที่เปปเปอร์คาดหวังรึป่าว ชีวิตจะเป็นอย่างไร คงต้องเลือกเอาเอง
