1 ปีผ่านไปสำหรับการครบรอบสำหรับชีวิตการทำงานในสาย SAP Consultant เป็นไงบ้างละ
จากบทความเดิมตอนที่แล้ว “เล่าประสบการณ์ชีวิตกว่าจะได้งาน SAP CONSULTANT ผ่านอะไรมาบ้าง”
หลังจากที่กด Public ไปแล้ว มีคนแชร์ให้เยอะแยะ ขอบคุณนะ ทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ
มีคนส่งเมล์เข้ามาถามเกี่ยวกับงาน SAP consult ทักแชทเพื่อถามข้อมูลเพิ่ม จนรู้สึกว่าที่ลงทุนหาข้อมูลจากหลายๆ คนที่ทำงานอยู่สายเดียวกันมารวมเป็นบทความชิ้นนั้นขึ้น เป็นประโยชน์มาก
จึงมีความคิดจะเขียนขึ้นมาเป็นตอนที่ 2 ซึ่งก็คืออันนี้เนี้ยะแหละ
แต่เนื้อหาจะเจาะลึกลงไปอีกเกี่ยวกับ SAP Consult ให้มันดูมีความรู้เฉพาะทาง สมกับที่จมปลักกับด้านนี้มาระยะหนึ่งแล้ว
Agenda ทั้งหมดในหน้านี้คร่าวๆ ก็จะเล่าประมาณ 2 เรื่องหลักๆ
- เนื้อหาการทำงานสำหรับการ Implement SAP ตั้งแต่เริ่มจนจบโปรเจ็ค (ASAP Methodology)
- แตกรายละเอียดตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ SAP
เอาละ
ถ้าใครได้ติดตามบล็อกเรามาจะทราบว่า
เราได้เลือกตัดสินใจทำงานกับบริษัท i am consulting มาตั้งแต่เรียนจบ IT ใหม่ๆ เลย
และยังจงรักภักดีกับบริษัทไม่ได้ลาออก หนีไปอยู่ที่ไหนหรอก
บริษัทก็ไม่ได้ผูกมัดให้ติดพันธะด้วยสัญญาอะไรด้วย
โดยรวมแล้วก็ยังคิดว่า ตัวเองโชคดีอีกนั่นแหละ ที่ได้ทำที่นี่ 55555555555555555
หลังจากโดนจับ Training Overview อยู่ 2 เดือน
ก็ได้จับแต่งงานใช้ชีวิตกับ Module MM (Material Management)
ทำไมถึงได้ทำโมดูลนี้ละ? จริงๆ ตอนนั้นอยากทำโมดูล CO (Controlling) มากกว่า เพราะว่าชอบพี่คนที่มาสอน Overview CO ให้ สอนดี น่ารัก เลยอยากทำ
มันน่าสนใจดีเพราะเป็นโมดูลที่อยู่ปลายทางของข้อมูลทั้งหมดเลย มันจะแง้มๆ เกี่ยวกับการดูข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาด้วย เลยอยากลองทำดู
ช่วงนั้นเห่อกับคำว่า Big Data ด้วยมั้ง เลยคิดว่า CO น่าจะมีความใกล้เคียงกัน
แต่จับผลัดจับผลูได้มาทำ MM เพราะว่าตอนพรีเซนงาน หลังจากจบคอร์ด Training เราได้พูดเกี่ยวกับเนื้อหาของ MM เต็มๆ เลย
พี่ซีเนียร์ก็คงเห็น แกก็เลือกจะพรีเซนโมดูลนี้ ก็ทำอันนี้ไปแหละ อย่ามางอแงทำ CO เลย
บางคนอาจจะสงสัยว่าโมดูลต่างๆ ที่เราเล่ามา SAP มีโมดูลอะไรให้ทำบ้าง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง เริ่มจาก MM
MM (Material Management) จะเกี่ยวข้องกับการบริหารคลังวัสดุ และการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด
เริ่มตั้งแต่การจัดการวัสดุสิ่งของต่างๆ พอมีการซื้อวัสดุเข้ามา ก็เกิดกระบวน Procurement เช่น เปิด PR ใบขอซื้อ → PO ใบสั่งซื้อ → GR รับของ → LIV ตั้งหนี้ และก็ยังมีเรื่องของ Inventory Management อีกด้วย
FI (Financial Accounting) เป็นระบบบัญชีการเงินใน SAP
ระบบนี้จะเกี่ยวข้องกับข้อมูลรายการทางบัญชีของธุรกิจ ภายในแบ่งเป็น Sub-Module ย่อยอีก 4 ตัวคือ
- ระบบบัญชีแยกประเภททั่วไป (FI-General Ledger Accounting) GL
- ระบบบัญชีลูกหนี้ (FI-Accounts Receivable Accounting) AR
- ระบบบัญชีเจ้าหนี้ (FI-Accounts Payable Accounting) AP
- ระบบบัญชีทรัพย์สินถาวร (FI-Asset Accounting) AA
เป็นโมดูลเพื่อนบ้านของ MM เนื้อหารายละเอียดค่อนข้างจุกจิก
ช่วงเริ่มแรกทำใหม่ๆ ก็จะเริ่มจากเรียนรู้จากซับโมดูลใดอันหนึ่งไปก่อน
CO (Controlling) วิเคราะห์ข้อมูลในเชิงบัญชีบริหาร เกี่ยวข้องกับงบกำไร-ขาดทุน คิดต้นทุน
โมดูลนี้เป็นปลายทางของข้อมูล มักจะเอาไว้ให้ผู้บริหารดูรายงานภายในองค์กร
จากที่เล่าๆมาต้นน้ำของข้อมูลมาจาก MM ถูกส่งต่อมายัง FI แล้วมาถึง CO
ตัวข้อมูลหลักของ CO คือ ศูนย์กำไร (Profit center) ศูนย์ต้นทุน (Cost center) Internal Order
ชื่อโมดูลก็บอกอยู่แล้วว่า Control เป็นโมดูลที่ควบคุมดูภาพรวมขององค์กร
พวก Profit Center / Cost Center สามารถดูได้ว่าโปรเจคนี้ได้กำไรหรือขาดทุนจริงๆเท่าไร
มีการประมาณการว่าจะใช้งบแต่ละอย่างเท่าไร (Plan) แล้วก็มาใส่งบประมาณที่ใช้ได้จริงๆ (Budget)
ข้อดีคือเห็นแบบ realtime ว่าใช้งบไปแล้วเท่าไหน แต่ข้อเสียคือ งบหมดก็ต้องมานั่งเบิกเพิ่ม
ถ้าคุมงบประมาณติด PR PO ของ MM ก็เปิดไม่ได้
อีกเรื่องที่สำคัญของ CO คือรายงาน Report ต่างๆ
เป็นบัญชีบริหารเพื่อดูภาพรวมบริษัท หรือดูระดับ line item ก็ได้
SAP เชื่อมโยงกันหมด ทำให้ต้องสร้างรายงานหลายโมดูล รวมสูตรต่างๆ เพื่อให้ได้กำไรขาดทุนตามต้องการ
เรื่องตรวจสอบรายงานก็ยาก ต้องเสาะแสวงหาว่าผิดตรงไหน ฝ่ายไหนทำผิด ใส่ cost center ผิดทำให้ไปลงต้นทุนผิดตัว
PS (Project System) เป็นโมดูลควบคุมดูแลระบบโปรเจค
คล้ายกับคุมงบงาน ใช้งบประมาณเหมือน CO
สามารถคุมตามราย BOQ, อัพ time sheet เพื่อไปเป็นต้นทุนของโปรเจค, การตัดงบหรือตั้งงบตามสัญญา
บางทีก็สามารถโยกย้าย sub module ไปทำงานใน CO
ส่วนมากคนทำ CO ก็มักจะได้ทำ PS ด้วย
PP (Production Planning) Module นี้เกี่ยวข้องกับการวางแผนการผลิต กระบวนการผลิต
จัดเป็นหัวใจหลักในธุรกิจที่มีการผลิต เช่น ปูนซีเมนต์ สูตรอาหารสัตว์
ข้อมูลหลัก (Master Data) เกี่ยวข้องกับ Work Center, Bill of Materials, Routing, Production Version
มีการเขียน Customize program ติดต่อกับโปรแกรมภายนอก เช่น เครื่องจักรที่ใช้ผลิต
หากข้อมูลไม่ถูกต้องส่งไปเครื่องจักร อาจทำให้ผลผลิตเสียหาย
PP ดูแลการวางแผนการผลิต ตั้งแต่เตรียมสูตรการผลิต เตรียมศูนย์งาน เตรียมเส้นทางการผลิต
แต่ละสูตรการผลิตแม้ผลผลิตเดียวกันยังมี Production Version ต่างกัน
PM (Plan Maintenance) คือ วางแผนควบคุม และซ่อมบำรุง แจ้งซ่อม/เสีย ยันปิดงานซ่อม
SD (Sale Distribution) เกี่ยวกับการขาย การกำหนดราคา และโลจิสติก วางแผนการจัดส่งสินค้า
SAP ย่อมาจาก Systems, Applications and Products in Data Processing
เป็นระบบงานเพื่อการบริหารจัดการองค์กร มีระบบย่อยเช่น FI, SD, MM
SAP คือ ERP (Enterprise Resource Planning) มี Market Share ใหญ่ที่สุด แพงและซับซ้อน
ASAP Methodology (Accelerated SAP) เป็นมาตรฐานในการพัฒนาระบบ SAP
มี 5 Phase
- Project Preparation เตรียมตัว เตรียมคน สถานที่ เตรียมทุกอย่าง และเก็บ Requirement จาก User AS-IS → TO-BE
- Business Blueprint ออกแบบระบบ ทำ Flow การทำงาน ออกแบบพิมพ์เขียวให้ตรงความต้องการลูกค้า
- Realization ทำจริง Config เขียนโปรแกรม ทำ Test Unit test, SIT, UAT, KUT
- Final Preparation เตรียมข้อมูล Cut Off, Data Migration, User Manual, Role Authorization, License
- Go-Live & Support ลูกค้าใช้ SAP จริง ทีม Consult ช่วยให้คำแนะนำ แก้ปัญหา
ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ SAP
- SAP Functional Consultant ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ SAP ตามโมดูล มีทักษะ ฟัง คิด พูด อ่าน เขียน จัดประชุมกับลูกค้า
ต้องอดทน งานหนัก อดนอน และต้องบริหารสภาพจิตใจ
บางคนอาจหันไปทำ ABAP อยู่เบื้องหลัง รับ Spec Requirement จาก Functional แล้วเขียนตาม - SAP ABAP Programmer ถ้าชอบ Coding งานเน้นเขียนโปรแกรมตามที่ Functional ออกแบบ
SAP Customize ทำได้ 2 แบบ:
- Configuration ปรับ field ที่ SAP Provide
- ABAP Programer ปรับแต่งเพิ่มเติมจาก Standard
ABAP Developer มี 5 ประเภท RICEF: Report, Interface, Conversions, Enhancement (User Exit, Modification, New ABAP Dev.)
- SAP ABAP Programmer
ถ้าชอบ Coding มาสายนี้เลย งานจะเน้นไปที่เขียนโปรแกรมตามที่ Functional ออกแบบมาให้ จากการเก็บ requirement จากลูกค้า ซึ่งส่วนมากงานของทีมนี้จะเป็นสิ่งที่ต้อง Customize เพิ่มขึ้นมา
โดย SAP Customize จะทำได้ 2 แบบ คือ - ทำผ่าน Configuration โดยปรับ field ที่ SAP Provide ไว้ให้ ส่วนมาก Functional จะเป็นคนทำเอง
- เขียน ABAP Programmer คือปรับแต่งเพิ่มเติมจาก Standard ที่มีอยู่ ซึ่งพื้นฐานต้องมีความรู้ด้าน Coding เช่น Interface, Open SQL
ABAP Developer jobs มี 5 ประเภท เรียกว่า RICEF คือ:
- Report – ดึงข้อมูลจาก Database ออกมาเป็น Output report
- Interface – มี 2 ขา คือ inbound และ outbound อาจเป็นการส่งค่าไปคำนวณกับ interface ภายนอก
- Conversions – แปลงข้อมูลจากระบบเก่าหรือของเดิมไปยังระบบใหม่
- Enhancement – แก้ไข Standard Coding เดิมไม่ตรงกับความต้องการลูกค้า แบ่งย่อยเป็น:
- User Exit – แก้ไขหรือตรวจสอบเพิ่มเติมจากของเดิม
- Modification – แก้ไข Source Code โดยตรง (ไม่นิยม)
- New ABAP Dev. – เขียนโปรแกรมใหม่ เปลี่ยน Screen, Dialog
- Add-on/Bolt-on – ใช้ 3rd Party Partner มาช่วยหรือเพิ่มฟังก์ชัน - Forms – เขียนฟอร์มเช่นใบ Invoice, ใบ Quotation, ใบ PR/PO SAP Provide ไว้ 2 แบบ:
1) SAP Script – เรียกทีละ Layout Set เช่น Header/Footer
2) Smart Forms – กำหนดครั้งเดียวเรียกใช้ได้หมด
ค่าตัวของ ABAP ส่วนใหญ่คิดเป็น Manday ว่าโปรเจ็คต้องการใช้กี่ Manday เพื่อทำ Customize Program
- SAP BASIS
แนวดูแลระบบ Infrastructure ทั้งหมดของ SAP เช่น Database, Network และระบบโดยรวม
งาน BASIS แต่ละบริษัทอาจต่างกัน ควรถาม scope งานก่อน
หน้าที่รวมๆ ของ BASIS:
- Maintain user, update user
- Transport, Import TR
- Create job, Set up job, Monitor Job
- Monitor system เช่น ดู log เพื่อให้ user ใช้ SAP มีประสิทธิภาพ
- จัดการการเข้าถึงของ User ให้สิทธิใช้งานฟังก์ชันต่างๆ
- Back up ข้อมูล
- เขียนสคริปต์ (Linux) เพื่อจัดการไฟล์หรือส่งไฟล์ใน Server
โดยรวมคนทำ BASIS ต้องมีพื้นฐาน IT มาแล้ว (จบสายคอมพ์)
เอาเป็นว่าสรุปพอสังเขป ข้อมูลนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจสาย SAP
บล็อกนี้อาจช่วยให้คุณตัดสินใจว่าจะทำสายนี้ดีไหม หรือเตรียมรับมือกับงานได้ดีขึ้น