fangrio

สุขปนเศร้า หนังรักเพลงวัยรุ่นยุค ’80 แนะนำให้ดู Sing Street (2016)

หากใครเคยดูหนังเรื่อง Once หรือ Begin Again แล้วชอบ
เชื่อเหลือเกินว่าต้องชอบเรื่องนี้ด้วยแน่ๆ กล้าพูดเลย
เพราะผลงานกำกับมาจากลุง John Carney
เสน่ห์หนังของลุงซึ่งกลายเป็น Signature ของแกไปแล้ว นั้นอยู่ที่การนำเอาเพลงมาเป็นส่วนหนึ่งในการเล่าเรื่อง
โดยใช้ตัวเอกของเรื่องเป็นคนสื่อสารออกมา
(เหมือนแกทำหนังแนวนี้แล้วเกิด ดังเป็นพลุแตกตลอดเลยแฮะ)
พอดูหนังจบมันโอเคมากกับบทสรุป  ค่อนข้างประทับใจ
ทำให้เราเรียนรู้ว่าในทุกช่วงจังหวะของชีวิตเราสามารถมีความสุขและความเศร้าไปพร้อม ๆ กันได้
จงยิ้ม แล้วลุกไปทำความฝันเถิด
(ความรักหรือไม่รักก็เช่นกัน)

“Your problem is you’re not happy being sad. That’s what love is, Cosmo. Happy-Sad.”

 

หนังเรื่องนี่ Sing Street มีชื่อไทยว่า รักใครให้ร้องเพลงรัก
ในหัวสมองตอนนี้แอบคิดว่าเรื่องนี้อาจให้อารมณ์
เหมือนกับหนังไทยบ้านเราอยู่เรื่องหนึ่ง คือ Suck Seed ห่วยขั้นเทพ (2011) เหมือนกันแฮะ

 

Conor (Ferdia Walsh-Peelo) เด็กหนุ่มมัธยมต้น วัย 15 คือพระเอกของเรื่อง
หนังเล่าว่าครอบครัวของเขาเป็นชาวไอริช ที่อาศัยอยู่ที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์
ตัวละครในเรื่องแทบทุกคนผิวขาวเวอร์วังกันทุกคน แก้มพระเอกนี้เป็นสีชมพูระเรื่อแบบน่าหยิกเชียว :3
ช่วงแรกครอบครัวประสบปัญหาอย่างหนักทางด้านการเงินด้วยพิษเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ทำให้ Cornor ต้องเปลี่ยนที่เรียนใหม่ เป็นโรงเรียนชายล้วนที่รวมเอาเด็กที่เฮี้ยวๆไว้ด้วยกัน
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในบ้านลง ด้วยความที่เป็นลูกชายคนกลางของบ้านด้วยมั้ง
บุคลิกตอนแรกพระเอก ค่อนข้างเรียบง่าย ดูไม่สู้คน และไม่มีพิษไม่มีภัยกับใครสุดๆ
แถมไปโรงเรียนก็โดนผู้ชายคนอื่นแกล้งอีก โถ่วว..ขัดใจนัก
แต่พอวันต่อๆมานางก็เริ่มแสบและแซ่บขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแต่งหน้าไปโรงเรียน
พักหลังนี้ฟอร์มทีมมาเป็นแก๊งค์บอยแบนด์ยุค ’80 อย่างเท่ห์
เข้าห้องปกครองเถียงกับอาจารย์เรื่องรองเท้าสีน้ำตาล
แต่สุดท้ายมันได้กลายเป็นเพลงเจ๋งๆ หนึ่งเพลงที่เขาได้แต่งขึ้น คือ “Brown Shoes”

 

ชีวิตของ Connor  อยู่ในช่วง Coming of age อย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากทางบ้าน เรื่องค่าใช้จ่าย
และความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ที่ไม่สู้ดีนัก
ทะเลาะกันทุกวันส่งเสียงดังสร้างความรำคาญให้กับเขาอย่างมาก
แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวมีปัญหานะ คือการอาศัยแต่งเพลง เล่นกีต้าร์โปร่งในห้องนอนไป
แถมยังมีพี่ชายคนโตที่อยู่บ้านเฉยๆ เพราะออกจากมหาลัยกลางคัน
และเป็นคนที่ไม่เอาไหนบ้านเพราะผ่านเรื่องล้มเหลวในชีวิตมาก่อน
มาเป็นคนคอยแนะนำให้คำปรึกษากับเขาในทุกๆ เรื่อง นิสัยการชอบฟังเพลง
ก็น่าจะได้มาจากพี่ชายเนี้ยะแหละ ทั้งมันยังทำให้เขารู้จักแนวเพลง Rock & Roll อีกด้วย

 

คือเราไม่เคยดูตัวอย่างหนัง หรือเห็น Poster ใดใดจากหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย
รู้แค่ว่าเป็นหนังเพลง
เลยคาดเดาไม่ถูกว่า ชีวิตพระเอกมันจะมีอะไรให้น่าค้นหาหรือน่าสนใจบ้างนะ
จนแล้ววันหนึ่งที่โรงเรียนเขาก็เริ่มรู้จักเพื่อนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นโดยบังเอิญ
ชื่อ Darren (Ben Carolan) น้องน่ารักดีนะ ผมแดง ดัดฟัน
โตขึ้นมาหนูต้องเท่ และคงขี้กวนไม่เบา แถมยังเป็นหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุดในวงด้วย

 

It’s about a boy and a girl i n  t h e  f u t u r e.

จุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มให้พัฒนาการทางด้านบุคลิกของพระเอก
ก็ตอนที่เขาไปตกหลุมรักกับสาวรุ่นพี่คนหนึ่ง Raphina (Lucy Boynton)
ที่หน้าโรงเรียนอย่างจังเลย ฉากนี้เลยทำให้เราเริ่มชอบตัวพระเอก
ให้เหรียญในความกล้าหาญในการเดินเข้าไปจีบเลย คือเห็นนางเอกคือแปปเดียว
แล้วก็ถามเพื่อนว่า “นั่นใครอะ” เจ้า Darren เพื่อนก็บอกไม่รู้เหมือนกัน
รู้แต่ว่าเห็นเธอมายืนอยู่ตรงนั้นทุกเช้า และไม่เคยคุยกับผู้ชายคนไหนเลย แ
ละไม่ต้องรอช้า พระเอกเดินเข้าไปหาจีบเลยจ้า นี่แหละคนจริง!!  ปรบมือซิ

ยืนคุยไปคุยมา ยิ่งคุยยิ่งหลงใหล
เจ้าพระเอกก็เลยชวนนางเอกมาเล่นวิดิโอเพลงให้วงเขาหน่อย
Raphina เองที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนางแบบ
และวางแผนจะไปลอนดอนเพื่อทำตามความฝันของเธอให้เป็นจริง ก็โอเคตอบตกลง “ได้สิ”
ซึ่งความซ่ามันอยู่ที่ตอนนั้นพระเอกก็ยังไม่ได้มีวงดนตรีอะไรเป็นของตัวเองหรอก
แต่แค่อยากจะทำความรู้จักกับนางเอก เพื่อจะได้หาเรื่องเจอกันต่อ
และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เต็มไปด้วย มิตรภาพ ความรัก อุปสรรค
เสียงหัวเราะ เสียงเพลง น้ำตา ที่ต้องก้าวผ่านไปด้วยกันให้ได้

เป็นหนังที่ดูได้เพลินเพลิน ดูไปยิ้มไป ขำฮี่ๆอยู่คนเดียวในหลายช่วง
และเราลุกลี้ลุกลนที่จะเปิด Youtube หา Soundtrack ของหนังเรื่องนี้มาฟังต่อ
เพราะอารมณ์มันยังค้างเติ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง
ตอนแรกเราเราแอบคิดว่าแบบ เฮ้ย เพลงยุค ’80 นี่มันจะฟังยากไปปะ โบราณไปไหม ไม่น่าเพราะหรอกมั้ง
แต่พอดูหนังเรื่องนี้จบ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เลยว่า ตีม Rock & Roll นี่ฟังยาก
เพราะเพลงประกอบในเรื่องนี้โคตรเพราะทุกเพลงเลย เป็นจังหวะสนุกๆ
ฟังแล้วต้องกระดิกอวัยวะในร่างกายตามไปด้วย
โดยเฉพาะเพลง “ Drive It Like You Stole It”

 

ใครที่ชอบวงที่มาจากเกาะอังกฤษอย่าง The Beatles , The Cure ,The Jam แนวๆ นี้
ต้องดูหนังเรื่องนี้เลย เราจะได้เห็นวิธีการแต่งเพลงของพระเอกและเพื่อนอีกคนหนึ่งในวง
ที่ชื่อ Eamon  (Mark McKenn)
อีกหนึ่งความดีงามของหนังเรื่องนี้ หล่อและมีเสน่ห์ ดาเมจรุนแรงมากกกกกกกกกกก

รู้ละว่าทำไมนักดนตรีถึงมีสาวมีกรี๊ดกราดกันมากมาย
คือตอนที่น้องเล่นดนตรี ไม่ว่าจะเป็นกีต้าร์ไฟฟ้า หรือเบส กลอง คีย์บอร์ด ดูหล่อขึ้น 99% เลยค่ะ
แถมในเรื่องนางยังเป็นผู้ชายอ่อนโยน รักสัตว์ หลงใหลในกระต่ายสามารถจมปลักกับมันได้ทุกวัน น่ารักมากกกก

“What’s with you & rabbits?”
“I dunno, I just love ‘em…”

 

เล่าถึงนางเอกกันบ้าง แสดงโดย Lucy Boynton สไตล์จะออกแนวสาวในยุค ’80 นั้นแหละ
เป็นคนทะเยอทะยาน บุคลิกภายนอกดูเป็นคนแรงๆ แต่งหน้ากรีดตา
ทาปากสีแสบสันอยู่เสมอ ผมยี้ฟู ใส่ส้นสูง สูบบุหรี่ ทำอะไรต้องสุดๆ
เป็นคนที่สอนให้พระเอกได้ก้าวผ่าน และกล้าที่จะทำหลายๆ อย่างในชีวิต
ความรักที่ดีต้องสร้างให้เกิดพลังบวกแก่ตัวเองเนอะ
ไม่รู้ทำไมพระเอกถึงตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ แต่เราชอบนางตอนล้างหน้าออกมากกว่านะ
โดยเฉพาะฉากที่ไปนั่งร้องไห้อยู่กลางสวนสาธารณะคนเดียวและก็ใส่หูฟัง
ฟังเพลง ” To Find You” หน้าสดผิวดีมาก ฉากนี้ก็แอบเศร้าเหมือนกันแฮะ

 

 

เล่ามาถึงตรงนี้ เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจเต็ม ๆ
มาจากช่วงชีวิตในวัยรุ่นของผู้กำกับคนนี้แน่ เพราะ John Carney
เติบโตมาที่เดียวกับตัวเอกในเรื่องอาศัยอยู่
พอได้อ่านบทสัมภาษณ์แล้วก็กลายเป็นว่าจริงด้วยแฮะ
แต่หนังจะสอดแทรกสิ่งที่เขาตั้งใจอยากทำให้ช่วงชีวิตตอนนั้น แต่ว่าไม่ได้ทำ

สิ่งประทับใจหนักๆ ในหนังเรื่องนี้คือวิธีการเล่าเรื่องที่หยิบยกประเด็นไม่ซ้ำใคร
ไปพร้อมกับได้ฟังเพลงไปด้วย ทำให้เราอินกับเหตุการณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญอยู่ด้วยเพิ่มขึ้นไปอีก
คือสุข สนุก เศร้า ดีใจ ไปพร้อมกับพระเอกเลย หนังยังมีมุขตลก ที่แทรกให้ขำอยู่ตลอด
เป็นมุขที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก แต่ดูแล้วยิ้มตามแบบ ...
อารายของมึงเนี้ยะะะ !! แบบนี้ก็ได้เหรอ!!
ฮ่า
แถมคอสตูมยังจัดเต็มกับเสื้อผ้าหน้าผมในสไตล์ย้อนยุคตามแบบฉบับของยุคนั้น
นักแสดงทุกคนเป็นธรรมชาติมาก แต่ละคนเท่ มีสไตล์ที่ชัดเจน
น้องผู้ชายนี่สร้างความบันเทิงและเป็นอาหารตาที่ดีแก่ป้าๆเสียจริงนะหนู

 

 

ไม่รู้ว่าตอนอายุ 15 เรากำลังทำอะไรอยู่ในช่วงชีวิตตอนนั้น
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปหรอกที่จะเริ่มออกไปทำให้สิ่งที่ฝันไว้ตอน 15 นั้นเป็นจริง สักที
นี้คือสิ่งที่หนังน่าจะบอกให้เราเชื่อแบบนั้น

และก็ประเด็นเรื่องครอบครัวอีกอย่างหนึ่งที่ดีมากๆ
คือถึงแม้ว่าที่บ้านอาจจะไม่อบอุ่น พ่อแม่เลิกหย่าร้างกัน
แต่ก็อย่าเอามาเป็นข้ออ้างให้เรากลายเป็นคนมีปม หรือสร้างปัญหาให้สังคม
ฉากหนึ่งที่สะกิดใจเรามากที่สุดเลยคือฉากที่ตัวเอกของเรื่อง Corner
แล้วก็พี่ชาย น้องสาวอยู่ในห้องนอนของตัวเอง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันดังเข้ามา
คืออาจจะฟังไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่มันก็สร้างความหงุดหงิดใจแบบ…อีกแล้วเหรอ?
แต่ก็ไม่มีใครหัวเสียนะ ได้แต่ออกมาดูว่า “นี่พ่อกับแม่เถียงกันจบยัง?”
สุดท้ายทั้ง 3 พี่น้องก็เลือกที่จะเอาความเศร้านั้นเปลี่ยนเป็นความสุขด้วยเสียงเพลง
คือเปิดเพลงในห้องแล้วก็เต้นด้วยกันแบบสุดเหวี่ยง เออเป็นภาพที่น่ารักดี
เป็น HAPPY & SAD จริง ๆ ค่ะ

 

ปิดท้ายไปด้วยรูปของน้อง Mark McKenn กับ Ferdia Walsh-Peelo หล่อโฮกกก

Falling in love with characters from movies sucks because they’re only around for like 2 hours. This is Eamon from Sing Street. Pretty good movie if you like 80s music and teen indie stuff.

 

 

 

Related posts:

  • แนะนำร้านอาหารญี่ปุ่น อิซาโอะ (ISAO Japanese Restaurant) อร่อยสมคำร่ำลือ ที่บีทีเอสพร้อมพงษ์
  • เขี่ยแฟนเก่าออกจากฟีเจอร์ On This Day แชร์ความทรงจำบน FACEBOOK (Simple way to help forget your ex)
  • BROCCOLI REVOLUTION ร้านอาหารมังสวิรัติรูปแบบใหม่ใจกลางเมือง
  • เรียนทำอาหารฟรี กับ Cooking Club ครัวความสุขของคนรักอาหาร กับเมนู 'เควสซาดิลญ่า พิซซ่าแม็กซิกัน'
  • รีวิว Scones Lovers 💓 สโคน 4 ชิ้น โฮมเมด ใช้วัตถุดิบอย่างดี อบด้วยความใส่ใจ อร่อยฟินมาก
  • แชร์วิธีหาตังค์เข้ากระเป๋าง่าย ๆ กับแอพฯ น้องใหม่ Eafy ใครๆ ใครๆ ก็ทำได้แค่มีมือถือ
  • มื้อสะดวก จ่ายตลาดสดใกล้บ้าน ได้อาหารปลอดภัย รับรองจากเครื่องหมาย Q
  • แค่เปลี่ยนแชมพู ผมหยุดร่วง รากผมแข็งแรง ด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผม Handmade 100%
  • Comments

    comments

    Exit mobile version