หากใครเคยดูหนังเรื่อง Once หรือ Begin Again แล้วชอบ
เชื่อเหลือเกินว่าต้องชอบเรื่องนี้ด้วยแน่ๆ กล้าพูดเลย
เพราะผลงานกำกับมาจากลุง John Carney
เสน่ห์หนังของลุงซึ่งกลายเป็น Signature ของแกไปแล้ว นั้นอยู่ที่การนำเอาเพลงมาเป็นส่วนหนึ่งในการเล่าเรื่อง
โดยใช้ตัวเอกของเรื่องเป็นคนสื่อสารออกมา
(เหมือนแกทำหนังแนวนี้แล้วเกิด ดังเป็นพลุแตกตลอดเลยแฮะ)
พอดูหนังจบมันโอเคมากกับบทสรุป ค่อนข้างประทับใจ
ทำให้เราเรียนรู้ว่าในทุกช่วงจังหวะของชีวิตเราสามารถมีความสุขและความเศร้าไปพร้อม ๆ กันได้
จงยิ้ม แล้วลุกไปทำความฝันเถิด
(ความรักหรือไม่รักก็เช่นกัน)
“Your problem is you’re not happy being sad. That’s what love is, Cosmo. Happy-Sad.”
หนังเรื่องนี่ Sing Street มีชื่อไทยว่า รักใครให้ร้องเพลงรัก
ในหัวสมองตอนนี้แอบคิดว่าเรื่องนี้อาจให้อารมณ์
เหมือนกับหนังไทยบ้านเราอยู่เรื่องหนึ่ง คือ Suck Seed ห่วยขั้นเทพ (2011) เหมือนกันแฮะ
Conor (Ferdia Walsh-Peelo) เด็กหนุ่มมัธยมต้น วัย 15 คือพระเอกของเรื่อง
หนังเล่าว่าครอบครัวของเขาเป็นชาวไอริช ที่อาศัยอยู่ที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์
ตัวละครในเรื่องแทบทุกคนผิวขาวเวอร์วังกันทุกคน แก้มพระเอกนี้เป็นสีชมพูระเรื่อแบบน่าหยิกเชียว :3
ช่วงแรกครอบครัวประสบปัญหาอย่างหนักทางด้านการเงินด้วยพิษเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ทำให้ Cornor ต้องเปลี่ยนที่เรียนใหม่ เป็นโรงเรียนชายล้วนที่รวมเอาเด็กที่เฮี้ยวๆไว้ด้วยกัน
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในบ้านลง ด้วยความที่เป็นลูกชายคนกลางของบ้านด้วยมั้ง
บุคลิกตอนแรกพระเอก ค่อนข้างเรียบง่าย ดูไม่สู้คน และไม่มีพิษไม่มีภัยกับใครสุดๆ
แถมไปโรงเรียนก็โดนผู้ชายคนอื่นแกล้งอีก โถ่วว..ขัดใจนัก
แต่พอวันต่อๆมานางก็เริ่มแสบและแซ่บขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแต่งหน้าไปโรงเรียน
พักหลังนี้ฟอร์มทีมมาเป็นแก๊งค์บอยแบนด์ยุค ’80 อย่างเท่ห์
เข้าห้องปกครองเถียงกับอาจารย์เรื่องรองเท้าสีน้ำตาล
แต่สุดท้ายมันได้กลายเป็นเพลงเจ๋งๆ หนึ่งเพลงที่เขาได้แต่งขึ้น คือ “Brown Shoes”
ชีวิตของ Connor อยู่ในช่วง Coming of age อย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากทางบ้าน เรื่องค่าใช้จ่าย
และความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ที่ไม่สู้ดีนัก
ทะเลาะกันทุกวันส่งเสียงดังสร้างความรำคาญให้กับเขาอย่างมาก
แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวมีปัญหานะ คือการอาศัยแต่งเพลง เล่นกีต้าร์โปร่งในห้องนอนไป
แถมยังมีพี่ชายคนโตที่อยู่บ้านเฉยๆ เพราะออกจากมหาลัยกลางคัน
และเป็นคนที่ไม่เอาไหนบ้านเพราะผ่านเรื่องล้มเหลวในชีวิตมาก่อน
มาเป็นคนคอยแนะนำให้คำปรึกษากับเขาในทุกๆ เรื่อง นิสัยการชอบฟังเพลง
ก็น่าจะได้มาจากพี่ชายเนี้ยะแหละ ทั้งมันยังทำให้เขารู้จักแนวเพลง Rock & Roll อีกด้วย
คือเราไม่เคยดูตัวอย่างหนัง หรือเห็น Poster ใดใดจากหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย
รู้แค่ว่าเป็นหนังเพลง
เลยคาดเดาไม่ถูกว่า ชีวิตพระเอกมันจะมีอะไรให้น่าค้นหาหรือน่าสนใจบ้างนะ
จนแล้ววันหนึ่งที่โรงเรียนเขาก็เริ่มรู้จักเพื่อนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นโดยบังเอิญ
ชื่อ Darren (Ben Carolan) น้องน่ารักดีนะ ผมแดง ดัดฟัน
โตขึ้นมาหนูต้องเท่ และคงขี้กวนไม่เบา แถมยังเป็นหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุดในวงด้วย
It’s about a boy and a girl i n t h e f u t u r e.
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มให้พัฒนาการทางด้านบุคลิกของพระเอก
ก็ตอนที่เขาไปตกหลุมรักกับสาวรุ่นพี่คนหนึ่ง Raphina (Lucy Boynton)
ที่หน้าโรงเรียนอย่างจังเลย ฉากนี้เลยทำให้เราเริ่มชอบตัวพระเอก
ให้เหรียญในความกล้าหาญในการเดินเข้าไปจีบเลย คือเห็นนางเอกคือแปปเดียว
แล้วก็ถามเพื่อนว่า “นั่นใครอะ” เจ้า Darren เพื่อนก็บอกไม่รู้เหมือนกัน
รู้แต่ว่าเห็นเธอมายืนอยู่ตรงนั้นทุกเช้า และไม่เคยคุยกับผู้ชายคนไหนเลย แ
ละไม่ต้องรอช้า พระเอกเดินเข้าไปหาจีบเลยจ้า นี่แหละคนจริง!! ปรบมือซิ
ยืนคุยไปคุยมา ยิ่งคุยยิ่งหลงใหล
เจ้าพระเอกก็เลยชวนนางเอกมาเล่นวิดิโอเพลงให้วงเขาหน่อย
Raphina เองที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนางแบบ
และวางแผนจะไปลอนดอนเพื่อทำตามความฝันของเธอให้เป็นจริง ก็โอเคตอบตกลง “ได้สิ”
ซึ่งความซ่ามันอยู่ที่ตอนนั้นพระเอกก็ยังไม่ได้มีวงดนตรีอะไรเป็นของตัวเองหรอก
แต่แค่อยากจะทำความรู้จักกับนางเอก เพื่อจะได้หาเรื่องเจอกันต่อ
และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เต็มไปด้วย มิตรภาพ ความรัก อุปสรรค
เสียงหัวเราะ เสียงเพลง น้ำตา ที่ต้องก้าวผ่านไปด้วยกันให้ได้
…
เป็นหนังที่ดูได้เพลินเพลิน ดูไปยิ้มไป ขำฮี่ๆอยู่คนเดียวในหลายช่วง
และเราลุกลี้ลุกลนที่จะเปิด Youtube หา Soundtrack ของหนังเรื่องนี้มาฟังต่อ
เพราะอารมณ์มันยังค้างเติ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง
ตอนแรกเราเราแอบคิดว่าแบบ เฮ้ย เพลงยุค ’80 นี่มันจะฟังยากไปปะ โบราณไปไหม ไม่น่าเพราะหรอกมั้ง
แต่พอดูหนังเรื่องนี้จบ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เลยว่า ตีม Rock & Roll นี่ฟังยาก
เพราะเพลงประกอบในเรื่องนี้โคตรเพราะทุกเพลงเลย เป็นจังหวะสนุกๆ
ฟังแล้วต้องกระดิกอวัยวะในร่างกายตามไปด้วย
โดยเฉพาะเพลง “ Drive It Like You Stole It”
ใครที่ชอบวงที่มาจากเกาะอังกฤษอย่าง The Beatles , The Cure ,The Jam แนวๆ นี้
ต้องดูหนังเรื่องนี้เลย เราจะได้เห็นวิธีการแต่งเพลงของพระเอกและเพื่อนอีกคนหนึ่งในวง
ที่ชื่อ Eamon (Mark McKenn)
อีกหนึ่งความดีงามของหนังเรื่องนี้ หล่อและมีเสน่ห์ ดาเมจรุนแรงมากกกกกกกกกกก
รู้ละว่าทำไมนักดนตรีถึงมีสาวมีกรี๊ดกราดกันมากมาย
คือตอนที่น้องเล่นดนตรี ไม่ว่าจะเป็นกีต้าร์ไฟฟ้า หรือเบส กลอง คีย์บอร์ด ดูหล่อขึ้น 99% เลยค่ะ
แถมในเรื่องนางยังเป็นผู้ชายอ่อนโยน รักสัตว์ หลงใหลในกระต่ายสามารถจมปลักกับมันได้ทุกวัน น่ารักมากกกก
“What’s with you & rabbits?”
“I dunno, I just love ‘em…”
เล่าถึงนางเอกกันบ้าง แสดงโดย Lucy Boynton สไตล์จะออกแนวสาวในยุค ’80 นั้นแหละ
เป็นคนทะเยอทะยาน บุคลิกภายนอกดูเป็นคนแรงๆ แต่งหน้ากรีดตา
ทาปากสีแสบสันอยู่เสมอ ผมยี้ฟู ใส่ส้นสูง สูบบุหรี่ ทำอะไรต้องสุดๆ
เป็นคนที่สอนให้พระเอกได้ก้าวผ่าน และกล้าที่จะทำหลายๆ อย่างในชีวิต
ความรักที่ดีต้องสร้างให้เกิดพลังบวกแก่ตัวเองเนอะ
ไม่รู้ทำไมพระเอกถึงตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ แต่เราชอบนางตอนล้างหน้าออกมากกว่านะ
โดยเฉพาะฉากที่ไปนั่งร้องไห้อยู่กลางสวนสาธารณะคนเดียวและก็ใส่หูฟัง
ฟังเพลง ” To Find You” หน้าสดผิวดีมาก ฉากนี้ก็แอบเศร้าเหมือนกันแฮะ
เล่ามาถึงตรงนี้ เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจเต็ม ๆ
มาจากช่วงชีวิตในวัยรุ่นของผู้กำกับคนนี้แน่ เพราะ John Carney
เติบโตมาที่เดียวกับตัวเอกในเรื่องอาศัยอยู่
พอได้อ่านบทสัมภาษณ์แล้วก็กลายเป็นว่าจริงด้วยแฮะ
แต่หนังจะสอดแทรกสิ่งที่เขาตั้งใจอยากทำให้ช่วงชีวิตตอนนั้น แต่ว่าไม่ได้ทำ
…
สิ่งประทับใจหนักๆ ในหนังเรื่องนี้คือวิธีการเล่าเรื่องที่หยิบยกประเด็นไม่ซ้ำใคร
ไปพร้อมกับได้ฟังเพลงไปด้วย ทำให้เราอินกับเหตุการณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญอยู่ด้วยเพิ่มขึ้นไปอีก
คือสุข สนุก เศร้า ดีใจ ไปพร้อมกับพระเอกเลย หนังยังมีมุขตลก ที่แทรกให้ขำอยู่ตลอด
เป็นมุขที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก แต่ดูแล้วยิ้มตามแบบ ...
อารายของมึงเนี้ยะะะ !! แบบนี้ก็ได้เหรอ!! ฮ่า
แถมคอสตูมยังจัดเต็มกับเสื้อผ้าหน้าผมในสไตล์ย้อนยุคตามแบบฉบับของยุคนั้น
นักแสดงทุกคนเป็นธรรมชาติมาก แต่ละคนเท่ มีสไตล์ที่ชัดเจน
น้องผู้ชายนี่สร้างความบันเทิงและเป็นอาหารตาที่ดีแก่ป้าๆเสียจริงนะหนู
ไม่รู้ว่าตอนอายุ 15 เรากำลังทำอะไรอยู่ในช่วงชีวิตตอนนั้น
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปหรอกที่จะเริ่มออกไปทำให้สิ่งที่ฝันไว้ตอน 15 นั้นเป็นจริง สักที
นี้คือสิ่งที่หนังน่าจะบอกให้เราเชื่อแบบนั้น
และก็ประเด็นเรื่องครอบครัวอีกอย่างหนึ่งที่ดีมากๆ
คือถึงแม้ว่าที่บ้านอาจจะไม่อบอุ่น พ่อแม่เลิกหย่าร้างกัน
แต่ก็อย่าเอามาเป็นข้ออ้างให้เรากลายเป็นคนมีปม หรือสร้างปัญหาให้สังคม
ฉากหนึ่งที่สะกิดใจเรามากที่สุดเลยคือฉากที่ตัวเอกของเรื่อง Corner
แล้วก็พี่ชาย น้องสาวอยู่ในห้องนอนของตัวเอง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันดังเข้ามา
คืออาจจะฟังไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่มันก็สร้างความหงุดหงิดใจแบบ…อีกแล้วเหรอ?
แต่ก็ไม่มีใครหัวเสียนะ ได้แต่ออกมาดูว่า “นี่พ่อกับแม่เถียงกันจบยัง?”
สุดท้ายทั้ง 3 พี่น้องก็เลือกที่จะเอาความเศร้านั้นเปลี่ยนเป็นความสุขด้วยเสียงเพลง
คือเปิดเพลงในห้องแล้วก็เต้นด้วยกันแบบสุดเหวี่ยง เออเป็นภาพที่น่ารักดี
เป็น HAPPY & SAD จริง ๆ ค่ะ
…
ปิดท้ายไปด้วยรูปของน้อง Mark McKenn กับ Ferdia Walsh-Peelo หล่อโฮกกก
Falling in love with characters from movies sucks because they’re only around for like 2 hours. This is Eamon from Sing Street. Pretty good movie if you like 80s music and teen indie stuff.
Related posts:
Comments
comments