Warning! Spoilers!
ถ้าใครกำลังมองหาหนัง Feel Good ดูแล้วอิ่ม ชุ่มชื้นหัวใจ
ดูเสร็จแล้วยิ้มไป 2 ชั่วโมงให้หลังจากนั้น แนะนำเรื่องนี้เลยค่ะ
About time : ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง) รัก
คำจำกัดความของหนังคือ น่ารัก
คือ มันน่ารักไปหมดเลยอ่ะ ตัวละคร, ฉาก, สิ่งของ, การดำเนินเรื่อง, บทสนทนา ซาวน์แทร็ค
ด้วยความที่เป็นหนังอังกฤษจ๋า ลอนดอนสุดอะไรสุด
ทำให้เรายิ่งชอบเข้าไปใหญ่
ดูเพลิน ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องคิดตามให้เครียดอะไรมากมาย
จริง ๆ หนังจะให้อารมณ์คล้ายกับเรื่อง Love Actually, Notting Hill เหมือนกันนะ
(เพราะ Richard Curtis กำกับทั้ง 3 เรื่องนี้ด้วยแหละ)
แต่เรื่องนี้ดีกว่าเยอะ มันไม่ได้พูดถึงในแง่ความรักหนุ่มสาวจีบกัน
แล้วลงเอยด้วยการใช้ชีวิตร่วมกันแค่นั้น
จุดชูที่ทำให้หลายคนบอก ร้องไห้ว่ะ T^T
คือความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของตัวเอก โดยเฉพาะพ่อกับลูก
ครึ่งแรกจะเป็นอารมณ์ love comedy
แต่ครึ่งหลังจะหนักขึ้นในแง่การใช้ชีวิต
การตัดสินใจเลือก การจากลา บทสรุป
ปกติพวกละคร หนังหรือไรงี้
มักจะไม่ค่อยเอาบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายกับพ่อมาเล่นสักเท่าไร
อาจเพราะผู้ชายกับผู้ชายมักไม่ค่อยแสดงออกกันให้เห็นเท่าไร
แต่เรื่องนี้หยิบมาเล่าได้ดี ดีไป๊ ชอบบบบ ><
หนังเริ่มฉายปี 2013
นี่ก็ 2015 แล้วเนอะ
เราดูในโรงไป 1 รอบ และหลังจากนั้นก็โหลดเก็บมาดูเอง
ดูกับเพื่อนอีกประมาณ 3 รอบ (โอ้วโหย.เยอะไปไหม)
คือไม่เบื่อเลย และมีแนวโน้มว่าจะสามารถดูซ้ำได้อีกหลายรอบ
จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ตั้งใจจะมาเขียนรีวิวหลายรอบแล้วล่ะ วันนี้แหละค่ะ
สปอยล์นะ
เนื้อเรื่อง : เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่สามารถย้อนเวลาไปยังอดีตได้ หนังไม่ได้ซับซ้อน
ไม่ได้อ้างอิงวิทยาศาสตร์ให้ชวนปวดหัว คือย้อนไปดื้อ ๆ
อยากกลับแก้เหตุการณ์ไหนก็แค่เข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้า หรือที่แคบมืด
แล้วหลับตานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่อยากจะย้อนไป
มีข้อแม้ว่า จะสามารถย้อนเวลาได้เฉพาะเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น
แค่นี้เอง..
ตัวละคร : นักแสดงในเรื่องทุกคนไม่ได้สวยหล่อกันแบบชวนให้สะดุ้งตา
แต่ทุกคนล้วนมีเสน่ห์น่าดึงดูดชวนให้หลงใหล
ที่เราชอบมากสุดคงหนีไม่พ้น นางเอก
แมรี่ (Rachel McAdams)
แม่รี่มีอาชีพเป็นคนอ่านต้นฉบับหนังสือพิมพ์
(เป็นอาชีพที่น่าสนใจเนอะ ทิมยังแซวเลยว่า
โหวเวลาใครถามว่าทำอาชีพอะไร อ๋อ ฉันหายใจ เพราะเป็นอาชีพแมรี่รักและมีความสุขเหมือนมันไม่ได้เรียกว่างาน)
เป็นสาวโสดอยู่คนเดียวในกลางกรุงลอนดอน
เสียงแมรี่ เซ็กซี่มากกกก ยิ่งฉากตอนเข้าไปในร้านอาหารที่มืดสนิท
พระเอกกับนางเอกก็คุยกัน โอ้ยยยยย ราเชลลลลยอมใจ
ที่สำคัญคือบุคลิกนางเป็นผู้หญิงน่ารักและรู้จักวิธีการอ่อยผู้ชายแต่พองาม ให้ขลุกขลิก
บวกกับทรงผมหน้าม้าเต่อที่เข้ากับชุดเดรส วิธีการแสดงออก หลาย ๆ อย่างอ่ะ ตกหลุมเลยค่ะ
มาที่ตัวพระเอกบ้าง ทิม (Domhnall Gleeson)
เป็นทนายความ ย้ายเข้ามาอยู่ในลอนดอนเพื่อทำงาน
และหวังว่าที่นี้จะมีรักแท้ให้เขาได้สมหวังสักที
6 เดือนแรก ทิมใช้ชีวิตไปอย่างน่าเบื่อ วัน ๆ อยู่แต่กับโรรี่ เพื่อนสนิทที่ทำงาน
จนมาถึงคืนนี้เขาไปเที่ยวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นที่นัดบอร์ดของหนุ่มสาว
(ให้อารมณ์เหมือนกับที่ DID จามจุรีสแควน์เลย)
คือร้านจะมืดสนิท พนง.จะพาให้ไปนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคู่เดท
แล้วก็สั่งอาหารกินกันภายใต้ความมืดนั่น อยากจะออกมาเจอหน้ากันต้องออกมาข้างนอก
และที่นี่ก็เป็นที่แรกที่ทิม ได้พบกับแมรี่
เท้าความกลับไปที่ทิมก่อน
จะพูดถึงครอบครัวทิม
ครอบครัวของเขาน่าสนใจนะ เต็มไปด้วยความประหลาด แต่อบอุ่นอ่ะ
คือเขาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ติดทะเล วิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกก
เป็นเมืองที่อยู่ชายฝั่ง Cornwall
เป็นครอบครัวฮิปสเตอร์ขนานแท้เลย ชอบมาปิคนิกกับตรงสนามหญ้าหน้าบ้านบ้าง
จิบน้ำชาบ้าง ฉายหนังดูกันบ้างแหละ บลาบลา
พ่อทิม เป็นสิงห์นักอมควัน นำแสดงโดย “Billy Nighy”
ลุงแอบเท่ห์ สมัยหนุ่ม ๆ ให้เดาคงเป็นผู้ชายเนี้ยบ ๆ หน่อย
แม่ทิม ดูปกติสุดสุขแล้วละในบ้าน ส่วนน้องสาว ยัยนี่แสบสุด ชื่อคิทแคท
เราว่านางดูไฮเปอร์ อารมณ์ขึ้นสุดลงสุด แต่ก็น่ารักดี
และคนสุดท้าย คุณลุงเฟรด ที่ป่วยเป็นคนไม่สมประกอบแบบอ่อน ๆ
ไอ้ความไม่สมบูรณ์ของลุงแกนี่แหละ ทำให้มันมีฉากขำ ๆ เพราะความกวนตีนของลุง
“Lesson number one : All the time traveling in the world can’t make someone love you.”
“บทเรียนที่หนึ่ง : แม้ย้อนเวลากลับไปได้ก็ไม่สามารถทำให้ใครรักคุณได้”
ทิม, About Time (2013)
พ่อของทิมได้บอกกับเขาตอนอายุ 21 ว่าผช.ตระกูลเรามีความสามารถพิเศษ
คือสามารถย้อนเวลาได้
ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อ แต่พิสูจน์ว่าพ่อไม่ได้โกหกมันย้อนได้จริง ๆ
ทิม ชายผู้โหยหารักแท้ และอยากจะมีแฟนกับเขาสักที
(ตอนต้นเรื่องทิมมันหน้าตาเห่ย จริง ๆ พระเอกเรื่องนี้ก็ไม่ได้หล่ออะไรเลยนะ
ดูไปดูมานิสัยอะไรบ้างอย่างคล้ายกับใครบางคนในอดีตของชีวิตเราอีก)
จึงใช้ความสามารถพิเศษนี้ทำให้พิชิตสาวคนนึงที่เขาชอบ
แต่ท้ายที่สุดแล้วอ่ะ
ทิมมันก็คิดได้ว่า
ต่อให้เราจะพยายามแค่ไหน ทำให้ทุกอย่างมันเพอร์เฟคที่สุด
แต่ถ้าเขาไม่รัก มันก็คือไม่รักอ่ะแก
เหตุผล 108 สารพัดมากมายที่เขาจะมาอ้างปฎิเสธว่าเราไม่ใช่มันมีมากมายไปหมด
ฉากที่ประทับใจ
1. ฉากเจอกันครั้งแรก
กลับไปที่ตอนแมรี่กับทิมนัดบอร์ดเจอกันที่ร้านอาหาร
เราโคตรชอบฉากนี้ นางเอกเดินออกมาจากร้านด้วยหน้าใบที่…..( ยกใจให้ไปเลย)
><
มันเป็นฉากกุ๊กกิ๊กจีบกัน แลกเบอร์กัน
ตอนแรกคิดว่าทิมจะเป็นผู้ชายเห่ย ๆ น่าเบื่อ ๆ หน่อย
แต่พอเจอทิมบอกประมาณว่า
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาโทรศัพท์ของผมมันทั้งเก่าทั้งห่วย
แต่ตอนนี้มันมีเบอร์คุณอยู่มันกลับกลายเป็นของที่มีค่าที่สุดในชีวิตเลย”
(จีบได้ดี ชอบ)
ซาวนแทร็กขึ้นมาเลยค่ะ Mid-air : Paul Buchanan เคลิ้ม
2. ฉากทิมเดินไปส่งแมรี่ที่รถ
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นหลังจากทิมย้อนเวลาไป เพราะว่าเขาพลาดปล่อยให้แมรี่มีแฟน
ตอนงานปาร์ตี้บ้านเพื่อนสาว เรามองว่าทิมมันขี้โกง
ย้อนเวลาไปเพื่อทำให้แมรี่ประทับใจที่สุด
โดยเก็บเวลก่อนหน้านี้จากบทสนทนาที่เคยคุยกันครั้งก่อน
ในหนังหยิบประเด็นเรื่องนางเอกชอบคลั่งไคล้ Kate Moss มากกก
อยากพูดถึง Kate Moss หน่อยอ่ะ เอาจริงตอนแรกก็ไม่รู้จักหรอกว่ะ
เพิ่งจะมารู้จักตอนเป็นนางแบบให้ Burberry, Mango คู่กับ Cara เนี่ยแหละ
ไหนก็ไหนละเนอะ เลยไปสืบมาสักหน่อย
ใครไม่อยากอ่านข้ามไปเลยค่ะ
———–
พูดถึงเจ๊เคท มอส ถ้าเป็นคนรุ่นใกล้ ๆ กับเราอาจจะไม่ค่อยรู้ แต่นางดังมานานมากแล้วละ
คนอายุราว 30+ ขึ้นไปน่าจะคุ้นหูนะ
ซึ่งอายุอานามของเจ๊แกก็ปาไป 41 ปีแล้ว (เกิด 2517)
เป็นราชินีนางแบบสัญชาติอังกฤษเหมือนคาร่าเลย
นางดังถึงขนาดที่ว่าถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารดัง ๆ ไป 300 กว่าเล่มแล้ว
เนื้อหอมมาก ทุกแบรนด์ดังๆทั่วโลก ล้วนจีบอยากให้นางมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้
เคยหมั้นกับ จอนนี่ เดปป์ ด้วยนะแกรรรรรร โฮ้กกกกกกกกกก คลั่ง ><
แต่แล้วก็ไปกันไม่รอด จนมีข่าวออกมาว่า ตรอมใจหนักมากถึงขั้นติดยาเลย
เล่าถึงชีวิตนางแบบบ้าง
สืบเนื่องมาจากจุดขายคือนางคือ
ไม่ได้มีหุ่นแบบ Supermodel สูงยาวเข่าดีแบบนางแบบคนอื่น ๆที่ดังในยุคนั้น
คือหน้าจะมึนๆ ตาลอย ขาโก่ง
คอลแลคชั่นแรกสุดของเคท ถ่ายโดย Corinne Day สมัยนางอายุ 15 ขวบเอง
ภาพขาวดำ เราดูแล้วชอบมาก อาร์ตดี
และเผอิญแบรนด์ Calvin Klein อยากได้หุ่น สไตล์นั่น เลยเป็นที่รู้จักโด่งดังเรื่อยมา
ตัวพระเอกก็เลยเอาตรงนี้มาเป็นจุดขาย (ชวนคุยเรื่อง Kate Moss)
ดึงความคิดนางเอกที่เคยพูดไว้ จนนางเอกอึ้งว่ามึงรู้ได้ไงเนี่ย
และคิดว่าเราเข้ากันได้ดีแน่ ๆ
จนสุดท้ายนางเอกยอมออกจากงานปาร์ตี้ห่วยๆเพื่อไปดินเนอร์กับพระเอก
ที่ชอบสุดๆเลยคงเป็นบรรยากาศตอนกลางคืน
ที่ร้านอาหาร มันออกแนวคริสต์มาสนิดๆ ไฟสลัว มีเพลงขึ้น
เหมือนภาพในฝันที่อยากไปยืนอยู่ในสถานกาณ์นั้นเลย
..
จากนั้นทิมก็ไปเดินไปส่งแมรี่ที่รถ ก็เดินมาตามถนน คุยกันเรื่อยเปื่อย
จนทิมถามว่า จอดรถไว้ไหนเนี่ย? ไกลไปป่ะ
ปรากฎว่านางจอดไว้ที่หน้าบ้าน ฮ่า
เป็นการอ่อยที่เข้าท่ามากค่ะ หลอกให้ผู้ชายเดินมาส่งที่หน้าบ้านตัวเอง แล้วสุดท้ายก็..นะ
3. ฉากในรถไฟใต้ดิน
ทุก ๆ เช้าก่อนไปทำงานทั้งทิมและแมรี่จะแยกกันที่สถานีรถไฟใต้ดิน
แล้วที่ใต้ดินมันจะวงดนตรีเปิดหมวกเล่นอยู่ แล้วมันดันเป็นเพลง
How Long Will I Love You – Jon Boden, Sam Sweeney, Ben Coleman
เป็นซาวน์แทร็กอันโด่งดังที่ติดหูใครหลายคนเลยแหละ
เพลงบรรยายบรรยากาศชีวิตรักของทิมกับแมรี่ไว้ได้ลงตัวมาก
หนังเล่าภาพทิมกับแมรี่ซ้ำจูบ จูงมือกัน ซ้ำๆๆ ด้วยเพลง
ชอบเสื้อผ้าของตัวลครที่เปลี่ยนไปตามเทศกาลด้วย น่ารักอ่ะ
4. ฉากงานแต่งงาน
แมรี่ใส่ชุดสีแดงเนอะ ชอบอ่ะ เก็บไว้เป็นมุดปักไว้ตอนงานแต่งตัวเอง (จะได้แต่งหรอ)
ปกติงานแต่งงานทุกคนก็จะวาดฝันไว้ว่าต้องแบบ..ราบหรูดูดี
อากาศร่มลมตก อยู่ริมเขาติดทะเล
แต่ About time คือความไม่ราบรื่นด้วยสภาพอากาศ
ฝนตก พายุเข้า เข้าแบบเข้าแรงอะ ลมแรงจน..กระโปรงเปิด …เต๊นท์ล่มโค่นไปทั้งงาน
ดูอยู่ในโรงจำได้ว่า ขำแรงอะ
ตลกอะ
ดนตรีมาค่ะ Il Mondo Lyrics : Jimmy Fontana ฮา
ทุกคนก็ตัวเปียกชุ่มกันถ้วนหน้า แต่ก็ยังอบอวลไปด้วยความรัก
ถ้าเป็นเรานะ ฝนตกขนาดนี้คือพังอะ ไม่ชอบให้ตัวโดนน้ำฝนมากๆๆ
และทั้ง ๆ ที่ทิมสามารถย้อนเวลากลับไปเลื่อนวันแต่งงานที่ฝนไม่ตก พายุไม่เข้าได้
แต่แมรี่กลับบอกว่า “เนี่ยะแบบเนี่ยแหละดีที่สุดแล้ว เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมหรอกนะ”
5. ฉากตีปิงปองของทิมและพ่อ
เศร้าอะ บอกเลย
อาจจะเป็นสีของผนังบ้าน
หรือโต๊ะปิงปองตัวเก่าที่ทำให้บรรยากาศของฉากนั้นดูเป็นการจากลาที่น่าใจหายที่สุดในหนัง
ทั้งทิมและพ่อ จะชอบมาตีปิงปองเป็นงานอดิเรก
และส่วนมากเขาเป็นฝ่ายชนะตลอด แต่ฉากนี้เขายอมอ่อนให้พ่อชนะ
จนแบบ..พ่อมันรู้อ่ะ ว่าเนี่ยมันมีอะไรผิดปกติแน่
แล้วถามลูกกลับไปว่า เหลือเวลาให้เท่าไร?
ทิมก็บอก นี่อาจะคงเป็นครั้งสุดท้าย (ที่จะย้อนมาหาได้)
อ่อลืมบอกไปว่า ก่อนหน้านี้คือพ่อมันป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แล้วก็ตาย
ทำให้บรรยากาศภายในบ้านเศร้าหมองกันไปหมด
จุดพีค ตัวละคร 2 ตัวมองหน้ากันแล้วพูดว่า
My Son
My Dad
กอดกันนนน
T______________________T
น้ำตาซึมเลยค่ะ คุณผู้อ่านคะ
สุดท้ายทั้งคู่ตัดสินใจย้อนเวลาไปด้วยกัน
โดยเลือกช่วงที่ทิมยังเป็นเด็กน้อย
เป็นฉากพ่อกับลูกเดินเล่นริมหาดชายทะเล มันแสนจะธรรมดาเอามาก
แต่กินใจไปเต็ม ๆ
บวกกับซาวแทร็คประกอบที่เลือกเพลงได้ดี
The Luckiest : Ben Folds
ทำให้อารมณ์มันพรั่งพรู
จนน้ำตาแทบจะไหลออกให้หมดเดี๋ยวนั้นเลย
บทสรุปคือหนังเรื่องนี้ ให้ข้อคิดหลายประเด็นมาก
สุดท้ายแล้ว การย้อนเวลาไม่จำเป็นสำหรับทิมอีกต่อไป
“We’re all traveling through time together, every day of our lives.
All we can do is do our best to relish this remarkable ride.”
หลัก ๆ แล้วหนังบอกให้เราทำทุกวันให้เหมือนกับว่าเราได้ย้อนเวลากลับมาแก้ไขแล้ว
ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตที่เรามักจะมองข้ามไป
ชีวิตของทิมเต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบทั้งชีวิตรัก ครอบครัว การงาน (รวมถึงแมรี่ด้วย)
In the end I think I’ve learned the final lesson from my travels in time;
and I’ve even gone one step further than my father did:
The truth is I now don’t travel back at all, not even for the day,
I just try to live every day as if I’ve deliberately come back to this one day,
to enjoy it, as if it was the full final day of my extraordinary, ordinary life.
เพราะหนังทำให้เราดูแล้วรู้สึกว่า เนี้ยะ..ชีวิตที่ดีมันเป็นแบบนี้
ชีวิตฉันต้องทำให้ได้แบบนี้
มันเลยเป็นหนัง feel good ให้แง่คิด ดูแล้วประทับใจไปหลายวัน
มี 10 ให้ 10 เลยค่ะ
Be First to Comment