[Update Version from Storylog.com 16-Nov-2018
and revise version 15-Sep-2020]
หลายครั้งตั้งคำถามว่าทำไมชีวิตเราต้องเป็นอย่างงี้ ทำไมต้องเกิดมาจากอะไรแบบนี้ด้วยนะ ทำไม ทำไม ทำไม ทำมีแค่เราที่เจอเรื่องนี้ คนอื่นมีตั้งเยอะ ทำไมดันเป็นเราที่…..
ทุกอย่างมีเหตุมีผลอยู่ในตัวเสมอ เราเชื่อมาตลอดเลยว่า Action = Reaction เสมอ
- ไม่มีทางเลย ที่เราจะทำดีแล้วจะไม่ได้ดี อาจจะไม่ได้เห็นผล ณ ตอนนั้น เดี๋ยวนั้น แต่มัน take action อะไรกลับมาสักอย่างแหละ อาจจะรูปธรรม นามธรรม 1% 10% 100%
- เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดาวดวง เราเชื่อแบบนั้น
- ไม่มีวันที่ปลูกถั่วเขียวและจะได้ถั่วลิสง (แต่ได้ถั่วงอกแทน)
ทุกเรื่องถ้าเราพยายามกับมันมากพอ ผลลัพธ์มันต้องส่งผลใดใดสักอย่างกับเราเสมอ เอาไปใช้กับเรื่องใดก็ได้ในชีวิต
สังเกตมานานแล้วว่าตั้งแต่เกิดมาจนโตอายุ 23 ขวบ (ตอนนี้ 27แล้ว) ละเนี่ย โหว..มันไม่ง่ายเลย
อะไรต่างๆ ล้วนหล่อหลวมเรามาตั้งแต่เด็ก ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้
เราเติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อแม่ และก็พี่ชาย เป็นน้องสาวคนเล็กสุดของบรรดาหลานๆ ทั้งหมด คงเป็นอีกเหตุผลนึงที่แม่ตั้งชื่อให้เราว่า “ขนิษฐา” ที่แปลว่า น้องสาว จริงๆ ชื่อกวาง ไม่ได้ชื่อฟาง อย่างที่หลายคนรู้จัก งงปะ555
ใคร ๆ มักบอกว่าน้องคนเล็กชอบเอาแต่ใจ รั้น งอแง อยากได้อะไรต้องได้ และมักมีแต่คนตามใจ
ซึ่งเราว่ามันก็จริงในระดับนึง ตอนเด็กๆ สมัยที่เล่นกับพี่ชาย ก็มักจะโดนมันแกล้งโดยการเล่นแรงๆ เช่น ทุบ ต่อยขา อารมณ์เด็กผู้ชายอะ กระโดดเตะกันสารพัด แน่นอนว่าเราสู้แรงมันไม่ได้หรอก พอสู้ไม่ได้ก็ร้องไห้ ร้องให้ดังด้วย เดี๋ยวก็มีคนได้ยินเองอะ
ด้วยความใสซื่อและอ่อนโยนของเด็กผู้หญิงพ่อแม่ย่อมเข้าข้างเราอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องอยากได้อะไรต้องได้เนี่ย โดยนิสัยแล้วไม่ใช่คนอ้อนว้อนขอให้จากพ่อแม่กับบ่อยนัก แต่ขอทีนึงก็ขอชิ้นใหญ่และก็แพงไปเลย ซึ่งตอนเด็กๆ สมัยยังหาเงินเองไม่ได้ ขอพ่อ พ่อก็ซื้อให้ทุกครั้งเลยนะ แม่บอกว่า
พ่อเขารักแก ขอๆเขาไปเหอะ เขาให้อยู่ละ เขารวยกับแกอยู่คนเดียว กับคนอื่นเขางกจะตาย
ตอนอนุบาลเราได้เรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมืองระยอง
วันแรกของการมาโรงเรียน จำได้ว่าพ่อขับรถมาส่ง เ
ดินเข้ามาส่งคนแรกๆของโรงเรียนเลย ทำใจไว้ตั้งแต่ในรถละ
ว่านี่คือการมาโรงเรียนครั้งแรกในชีวิต
โดนกรอกหูว่า เด็กๆมาครั้งแรกก็จะร้องไห้กันทุกคนแหละ แล้วเราละ?
ตอนพ่อเดินมาส่งถึงหน้าห้องแล้ว พ่อเดินไปเดินมาแป๊ปนึงละก็คงพูดประมาณว่า
“จะกลับละนะ อยู่ได้นะ”
เราเอง ที่เด็กมากๆ ตอนนั้นก็คงไมได้พูดอะไร
นึกแบบเร็ว ๆ ลาง ๆ ก็คงทำหน้าเข้มแข็ง เฟี้ยสๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ประมาณว่า
โอเค หนูอยู่ได้ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เด็กคนอื่นเค้าก็ต้องทำได้
ตาก็มองพ่อเดินจากไปลิบๆ พอลับตาหายไปละ
ทันใดใจมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เหมือนโลกทั้งโลกเราไม่มีใครอีกแล้ว จะต้องทำตัวอย่างไงต่อ
อีกกี่โมงพ่อถึงจะมารับกลับบ้าน
สักพักน้ำตาเริ่มซึม ซึมมมจ้าาาา
เอ่อออ และก็ไหลออกมาจนได้
แต่ตอนนั้นไม่มีใครเห็นหรอกว่ามีเด็กนั่งร้องไห้อยู่
ต่อมาก็เริ่มเห็นเพื่อนคนอื่นพ่อแม่มาส่งเหมือนกัน
แต่เขาไม่ร้องไห้วะ นางดูสดใสเชียว เอาละ..ไปโรงเรียนกัน 🙂
พอเริ่มขึ้นประถมแม่ตัดสินใจให้เราย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกับที่แม่สอนอยู่ ตอนนั้นรับรู้ได้เลยว่าตัวเองไม่ใช่เด็กสามัญปกติแบบเพื่อนคนอื่น ทุกๆอย่างดูได้อภิสิทธิ์พิเศษไปซะหมด ด้วยความที่ทุกคนมองว่าเนี้ยะเป็น “ลูกครู” ขนาดที่ว่าสอบได้ที่ 1 ในช่วงป.1-ป.2 หลายเทอมเชียว โดยนี่ก็ยังเอ๋อๆงงๆอยู่ว่าเอ๊ะ..ทำไมได้ที่ 1 เพื่อนคนนั้นเก่งกว่าเราอีก นางคิดเลขเก่งกว่าอะ ตอนสอบยังแอบไปถามอยู่เลยว่า
“เธอๆ ข้อนี้คิดไงอะ”
มีครั้งนึงอยู่ ป.2 คุณครูประจำชั้นบอกว่า
“เนี้ยะๆ คะแนนของเราได้เท่ากับเพื่อนคนนี้เลย (สมมุติว่าชื่อเอ) แต่ว่ามันจะมีคนได้ที่ 1 สองคนไม่ได้หรอกนะ ครูจะตัดสินโดยการให้ทั้งคู่มาร้องเพลงหน้าชั้นเรียน ถือซะว่าเป็นคะแนนตัดสินในวิชาดนตรีนะ”
เราก็งงๆ ว่าเอ๊ะ คาบวิชาดนตรีหนูก็สอบร้องไปละหนิ
ตัดสินจากตรงนั้นไมได้เลยหรอก
ไม่อยากร้องอะ กลัวการแสดงออก
ครูคนนี้จะให้เราร้องเพลงใหม่ใต้ต้นไทรกลางโรงเรียนในช่วงตอนเย็นหลังเลิกเรียน
ซึ่งเราไม่เต็มใจจะร้องอะ
คือให้เราได้ที่ 2 ก็ได้นะ ไมได้ว่าอะไรแต่ไม่อยากร้องเพลงอะ
สุดท้ายเรื่องจบโดยการที่เราก็ร้องเพลงช้างไป
และได้ที่ 2 มาสมใจอยากเหตุผลเพราะว่า เราร้องโดยไม่มีท่าทางประกอบ
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อีกหลาย ๆ อย่าง ที่ทำให้เรารู้สึกอยากเป็นเด็กปกติเหมือนเพื่อนคนอื่น
ไม่อยากให้มีใครมาสนใจ เอาใจ หรือให้สิทธิพิเศษ
อยากเป็นเด็กธรรมดาบ้าง
กลุ่มเพื่อนที่คบๆอยู่ช่วงนั้นก็จะแบบ normal มากกกกกกกก ติดดินมากกก
แต่จริงใจมากเช่นกัน เป็นเด็กที่พ่อแม่มาจากต่างจังหวัดบ้าง
เก็บของเก่าขายบ้าง จะเลือกคบแต่เพื่อนที่พ่อแม่ฐานะยากจน เป็นเพื่อนเราหมด
ด้วยความที่เรียนโรงเรียนเดียวกับแม่มาโดยตลอดจนจบช่วงวัยประถมเลยแหละ
ทำให้แทบจะอยู่กับแม่ all day all night
เช้าสายบ่ายค่ำ ก็มีแต่แม่ๆๆๆๆ
มาโรงเรียนก็มาพร้อมกัน
กลับบ้านก็กลับพร้อมกัน
อยู่บ้านก็นอนเตียงเดียวกันอีก
มันจึงไม่มีเหตุการณ์ได้ห่างกันเลย
แต่แล้ววันนึงเราอยู่ ป.4 ช่วงสายๆ เราเห็นแม่ขับรถออกไปข้างนอก
คิดว่าช่วงพักกลางวันแม่ก็คงกลับมาและก็เห็นกันตอนกินข้าว
ไปนั่งเล่นที่ห้องพักครูกับแม่ได้ตามปกติ
แต่แล้วจนช่วงบ่ายก็ยังไม่เห็นแม่กลับมาโรงเรียน ใจเริ่มสั่น..มีคำถามเกิดขึ้นว่า
แม่ไปไหน แม่ไปไหน ทำไมไม่กลับมา ไปนานไปไหม แม่จะเป็นอะไรรึป่าว ทำไมไม่บอกหนู หรือจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับแม่ ถ้าเกิดขึ้นจริงจะทำยังไง ใครจะรู้ เราจะรู้ไหม เมื่อไหร่แม่จะกลับมา (พอนึกกลับไปมันก็ตลกดี)
ในหัววนๆอยู่แค่นี้
สักพักเริ่มซึม ซึมจนไม่คุยกับเพื่อน ไม่หื้อไม่อื้อ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
จนมีเพื่อนคนนึงจับได้ว่าผิดสังเกตไปนะ ทำไมเราไม่ร่าเริง เพื่อนถามว่าเราป่วยหรือป่าว ปวดหัวหรอ?
“เออใช่ เราปวดหัว”
เพื่อนเสนอทางออกให้เราไปนอนพักที่ห้องพยาบาลเผื่อจะดีขึ้น
ก็เป็นอะไรที่ดี จะได้ออกไปข้างนอกห้องเรียนเผื่อจะเจอว่าแม่อาจจะกลับมาแล้วก็ได้
ปรากฏว่าแม่ก็ไม่เจอ แถมนอนคนเดียวในห้องพยาบาล เหงาเลย สักพักร้องไห้จ้า ร้องแบบสะอึกสะอื้น ฟูมฟายมาก จนครูท่านนึงมาเห็นและก็ถามว่าเป็นอะไรร้องไห้ทำไมคะ ปวดหัวมากไหม
ถ้าปวดหัวละทำไมต้องร้องไห้ ก็เลยสารภาพถามไปว่า “แม่ไปไหนคะ”
คุณครูก็ตอบว่าแม่ไปอบรมเดี๋ยวก็กลับแล้ว
นึกแล้วก็ขำตัวเองดีว่า นี่ตอนเด็กงอแงอะไรขนาดนี้
พอโตมาเป็นวัยรุ่น ก็เริ่มมีชีวิตเป็นของตัวเอง แล้วก็เริ่มห่างๆ กันไป แล้วเราเลิกติดแม่ไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ
เหมือนช่วงเด็กๆ ชีวิตเราไม่มีอะไรมากมาย ไม่มีใครต้องผูกพันด้วย เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ก็โตเกินไปที่จะมานั่งคิด
พอช่วงเข้ามัธยมตอนเย็นบ่นกับที่บ้านว่าไม่อยากนั่งรถประจำกลับเลย
มันต้องรอเด็กคนอื่นนานไม่อยากรอ
แม่ก็ลงทุนขับรถมารับที่หน้าโรงเรียนตอนเย็นทุกวัน
ทั้งๆที่ตอนนั้นแกจะยุ่งกับงานที่ตัวเองทำอยู่ รถในเมืองก็ติด แต่แม่ก็ยังมารับอะ คิดดู 555 อภิสิทธิ์ลูกประเสริฐ
พอขึ้นมหาลัยติดรอบรับตรงที่บางมด ตอนนั้นอยากเรียนเกี่ยวกับ ICT
แต่ดันมาติด IT บางมดก่อนคิดว่าคงเรียนคล้ายๆกัน แต่ความจริงมันไม่คล้ายนะแก
เรากังวลใจว่าค่าเทอมที่นี่จะแพงเกินไปรึป่าว แต่จังหวะที่บอกพ่อว่า
หนูติดไอทีบางมดแล้วนะ คำถามแรกคือ
“ค่าเทอมเท่าไหร่”
เราก็บอกไปว่ามันประมาณเท่าไหร่ต่อเทอม ไม่มีคำตอบอะไรมากมาย
“ถ้าเราอยากเรียนจริงๆ ก็มีเงินส่งให้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว” พ่อบอกงี้
ความชอบ อุปนิสัยหลายๆอย่างที่ติดพันมากจนทุกวันนี้ ก็ได้มาจากการที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับพ่อและแม่
เช่น พ่อจะชอบรถคลาสสิกหายาก พลอยทำให้เราบ้ารถเวสป้าอยู่พักนึง
และพ่อก็ซื้อมาให้ขี่จริงๆด้วยนะ แต่ขี่ได้พักนึงนี่ก็เบื่อ เพราะขี้กลัว กลัวไปชน กลัวเขามาชน
ส่วนแม่ช่วงนึงของชีวิตเรากับแม่ไปดูหนังกันบ่อยมาก ที่ระยองจะมีโรงหนังเก่าๆ อยู่โรงนึง
ตั๋วราคา 50 บาททุกที่นั่ง ทุกเรื่อง ทุกรอบ คือแทบจะทุกเสาร์แม่จะขี่มอไซต์พาไปดูหนังตลอด
หนังที่ดูส่วนมากจะไม่พ้นหนังตลกคอมมาดี้ ไม่ก็หนังจีนแอคชั่น ทำนองนี้
แต่หนังผีจะไม่ได้ดูนะ เพราะแม่ไม่ชอบ
พอดูหนังเสร็จก็จะแว๊นซ์ไปที่หอสมุดประชาชน
นั่งอ่านหนังสือกัน แม่จะอ่านพวกนิตยสารสุขภาพ ชีวจิต
บทความเกี่ยวกับการทำอาหารและดูแลร่างกาย
ส่วนเราก็อ่านไปเรื่อย รู้สึกมีความสุขตอนได้ไปห้องสมุด
จนต้องสมัครสมาชิกเพื่อมายืมหนังสืออีก 6-7 เล่มมากองไว้เป็นความสุขที่บ้าน
การมาหอสมุดบ่อยๆ นั้นยังทำให้เรารู้จักนิตยสาร a day ครั้งแรกในหน้าปกของจิมมี่ เลียว อีกด้วย
ทุกวันนี้เรากลายเป็นคนชอบดูหนังมาก ว่างเป็นต้องหามาดู
และกลายเป็นงานอดิเรกที่เราสามารถแนะนำให้คนอื่นได้ถ้าต้องการหาหนังดีๆ ดูสักเรื่องนึง
อีกทั้งนิสัยการชอบไปร้านหนังสือลูบๆคลำๆ ก็ติดตัวมาด้วยจนป่าน
การอ่านทำให้เราเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ทำให้เรามีคลังข้อมูลเอาไว้ต่อกรกับคนอื่นเมื่อต้องหาเหตุผล
หรือสร้างบทสนทนาสนุกๆสักเรื่องหนึ่งขึ้นมาในเวลาอันสั้นๆ
ขอบคุณแม่จริงๆ ที่พาไปห้องสมุดในวันนั้น
ไม่รู้ว่าที่ผ่านมา เราเคยทำอะไรให้พ่อแม่ภูมิใจมากน้อยแค่ไหน
เท่าที่นึกออกก็คงจะเป็นช่วงรับปริญญาปีที่ผ่านมา (ผ่านมาหลายปีแล้ว)
พ่อที่กำลังบวชอยู่และยังไม่ถึงกำหนดการที่จะต้องศึกออกมา แต่เช้าวันที่รับจริงที่ไบเทคฯ
พ่อก็รีบโกนหัวจากวัด และก็ขับรถจากระยองขึ้นมากรุงเทพฯ
คนเดียวตั้งแต่ตีห้า วันนั้นเป็นไปด้วยความเรียบง่ายเหมือนชีวิตเดิมๆของครอบครัวแล้ว
แต่ที่พิเศษขึ้นมาอีกหน่อยก็คงจะเป็นการถ่ายภาพร่วมกันทั้งครอบครัว (ยกเว้นพี่ชาย)
และเห็นทั้งแววตาอันสดใสกว่าเคยของทั้งพ่อและแม่
พอเรียนจบ
เราเชื่อเหลือเกินว่าทุกวันนี้ที่เราตัดสินใจไม่กลับไปทำงานที่บ้าน มันทำให้พ่อกับแม่นั้นไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก
4 ปีที่เรียนมหาลัยมา นั่นคงเป็นการพลัดพรากที่ทำให้เราได้เจอหน้ากันน้อยลง
ช่วงใกล้จะเรียนจบพ่อแอบเปรยถามว่า
“จบแล้วจะกลับมาทำงานที่ระยองไหม หรือไม่กลับละ จะอยู่กรุงเทพฯต่ออีก” เราก็นิ่งๆ ไม่ได้ตอบว่าอะไร
แต่ลึกๆแล้วในใจก็รู้แหละว่าเขาไม่อยากให้เราอยู่กรุงเทพฯต่อ
แม่ที่ไม่ได้งานยุ่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ตัดสินใจออกจากการเป็นครูมาอยู่บ้าน ไปคาเฟ่ เลี้ยงหลาน เต้นอาโรบิค และทำกับข้าวให้ทุกคนกินแทน
มีครั้งนึงทำเราใจสั่นเลยเมื่อพ่อพูดกับเราว่า
“พ่ออยากให้หนูอยู่ที่บ้านกับแม่เขานะ กลัวเขาจะเหงา“
ครอบครัวเราผ่านอะไรด้วยกัน บาดแผลอะไรบางอย่างกัดกินในหัวใจทุกคนจนถึงวันนี้
แม้ว่าวันนี้จะยังคงใช้ชิวีต หาเงิน ทำงาน คนเดียวอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ในใจก็คิดถึงบ้านเสมอ
ช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ (หลายปีก่อน) เราตัดสินใจย้ายที่พัก
พ่อกับแม่ก็ไม่ลังเลที่จะมาช่วยขนย้ายข้าวของอันมหาศาลที่มีอยู่ ทักไปหาแม่ก่อนจะถึงวันย้ายหอว่า
“มาอยู่เป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม ไม่อยากอยู่ห้องใหม่คนเดียวอะ กลัว”
แม่ก็เห็นดีเห็นงามด้วยและก็มาอยู่ด้วย 1 อาทิตย์เต็มๆ
ช่วงที่เราไปทำงาน แม่ทั้งกวาด ถู เช็ดห้องให้ทุกวัน ทั้งยังข้าวหาปลาให้กินก่อนไปทำงาน
หลังกลับจากทำงานก็เช่นกัน
ปกติเราไม่กินข้าวเย็นแต่พอเห็นแม่ซื้อเตรียมไว้ให้
จะไม่กินก็แลจะดูมีการน้อยใจกันเกิดขึ้นเล็กน้อย
และเมื่อเช้านี้เองเป็นเช้าที่เราอยู่คนเดียวมาเข้าสู่อาทิตย์ที่ 3 แล้ว
สังเกตเห็นพัดลมที่ตั้งวางอยู่ที่พื้นห้อง พัดลมตัวนี้อยู่กับเรามาน่าจะ 4 ปีแล้วมั้ง
ตั้งแต่พักอยู่หอในช่วงเรียนหหาลัย ยันเรียนจบออกมาทำงานก็ย้ายตามมาด้วยกันตลอด
ช่วงพักหลังๆมานี้ สายไฟที่ต้องเสียบของมันพันกันยุ่งเยิง ไม่รู้ด้านในเกิดไรขึ้น
แต่มันม้วนพันกันเป็นเกลียวยุ่งเยิงไปหมด
เราเคยพยายามจะคลายเกลียวนั้นออกมาทีละคืบ ทีละคืบ อย่างใจเย็น
สุดท้ายมันก็ค่อยๆคลายเกลียวออกมาตรงในสุด
แต่พอใช้ไปได้สักพักมันก็กลับไปพันกันเป็นกระจุกก้อนเหมือนเดิม
เพลียใจกับมันจริงๆ
ก็เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ignore หนักมาก
ซึ่งพอเราเห็นสายไฟยุ่งๆทีไรมันหงุดหงิดใจทุกที แบบ…เฮ้ออะ
แต่พอมาวันนี้เราก้มมองไปที่พัดลมตัวเดิม แต่สายไฟใต้พัดลมไม่พันกันอีกแล้ว
เพราะพ่อกับแม่มานั่งคลีสายไฟให้ เขาคงเห็นแหละว่าสภาพมันในวันที่ย้ายออก
แล้วอดไม่ได้ที่จะต้องจัดการมันให้ซะ
กลัวว่าลูกสาวจะโดนไฟดูดตายซะก่อน !
ภาพที่เราเห็นได้วันนั้นคือพ่อแม่ช่วยกันเป็นทีมเวิร์ค
นั่งกับพื้นและค่อยๆคลายเกลียวมันออกมา คนนึงจับปลาย
อีกคนจับโคนและทำงานกันเป็นทีม จนในที่สุดสายไฟก็กลับมาตรงเหมือนเดิม
เราก็ได้แต่บอกว่า “คราวนั้นหนูก็ทำแบบนี้แหละ แต่เดี๋ยวมันก็กลับมาหงิกเหมือนเดิม”
ฮ่าๆ มันดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่คือลองคิดดู มันจะมีใครมาทำให้เราแบบนี้อะ
เรื่องงานซ่อม ประดิดประดอยไม่พ้นมือพ่อหรอก
พ่อแก้ปัญหาโดยการหาหนังยางมามัดรวมเส้นกันซะ จะได้ไม่พันกันอีก และมันก็ไม่พันกันจริงๆด้วย ตามรูปหน้าปกของบทความนี้
เราอดคิดไม่ได้ว่า
“จะมีใครมาทำแบบนี้ให้อีกวะ ขนาดเรายังไม่อยากจะทำเลยอะ”
ถ้าเราเปรียบเทียบกับคนอื่นขึ้นมาเมื่อใด
ว่าทำไมชีวิตเราถึงไม่มีแบบโน่น ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่รวย ไม่สุขสบายเท่าเขาบ้างนะให้มองไปรอบๆกายตัวเองเถอะ ไม่ว่าจะเป็น ผิวพรรณ เส้นผม ดวงตา รูปร่าง เสื้อผ้าที่เราใส่ หมอนที่หนุนหนอนอยู่ รถที่เราขับ บ้านที่อยู่ โรงเรียนที่จบ งานวันเกิดที่จัดไป คอมพ์ที่ใช้เล่น หรือเสียงที่เราเปล่งออกมาทุกวันนี้
เราทุกคนล้วนเป็น ผลผลิตที่ดีที่สุด ที่พ่อแม่เราจะสรรหามาให้เราได้
สุดความสามารถของชายหุนุ่มและหญิงสาวคู่นึงที่ตัดสินใจเลี้ยงเด็กคนนึงให้เติบโตขึ้นมาให้ใช้ชีวิตต่อสู้กับโลกนี้ได้ จงภูมิใจกับสิ่งที่เราเป็นเราเถอะ
เราก็ไม่ใช่คนเก่งในหลายๆเรื่อง สมัยก่อนทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กับพ่อ พ่อจะบอกก่อนวางสายเสมอเลย
ตั้งใจเรียนตั้งใจทำงานนะ ลูกพ่อเก่งเสมอ
แต่เดี๋ยวนี้พอเป็นตอนที่ร่ำลากัน ก็จะบอกตั้งใจทำงานนะ โชคดี 🙂
Be First to Comment